เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ที่บ้านหันมาฮิตกิน ‘นมอัลมอนด์’ เป็นการใหญ่ คำถามของเพื่อนก็คือ การกินนมอัลมอนด์เป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า และนมวัว นมอัลมอนด์ กับนมถั่วเหลืองธรรมดาๆ นี่ อะไรดีกว่ากัน
คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงข่าวสมาคมเกษตรกรผู้ผลิตผลิตภัณฑ์์จากนม (โอย – แปลเป็นไทยแล้วยากจังครับ จริงๆ คือ Dairy Farmers of America หรือ DFA) ที่เพิ่งมีรายงานออกมาว่า ปีที่แล้ว (คือปี 2018) ยอดขายนมวัวนั้นลดลงไปมหาศาลทีเดียว นั่นคือลดลงไปราว 1.1 พันล้านเหรียญ เหลืออยู่แค่ 13.6 พันล้านเหรียญ จากเดิมในปี 2017 คือ 14.7 พันล้านเหรียญ
คำถามก็คือ คนจำนวนหนึ่ง (แบบเดียวกับเพื่อนของผม) เลิกกินนมกันแล้วหรืออย่างไร
DFA บอกว่า ปีที่ผ่านมาคือปีที่ ‘ท้าทาย’ อย่างมากต่อธุรกิจนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งก็รวมไปถึงเนย ชีส โยเกิร์ต และอื่นๆ อีกนะครับ เพราะว่ายอดขายของทุกอย่างที่ว่ามานี้ลดลงหมด
แล้วทำไมถึงลดลง?
ถ้าหันไปดู ‘ผลิตภัณฑ์ทดแทนนม’ หรือที่เรียกว่า dairy alternatives ทั้งหลาย พบว่าตลาดของ dairy alternatives มีมูลค่าถึง 11.9 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว คือเกือบๆ จะตีตลาดนมแตกกระจุยแล้ว (เพราะตลาดนมมีมูลค่า 14.7 พันล้านเหรียญ) โดยผลิตภัณฑ์ทดแทนนม มีตั้งแต่นมข้าว นมถั่วเหลือง นมข้าวโอ๊ต แต่ที่มาแรงที่สุด ก็คือนมอัลมอนด์ (แบบเดียวกับที่ครอบครัวเพื่อนของผมนิยมกินนั่นแหละครับ)
หลายคนบอกว่า เอ…หรือจะเป็นกระแสชาววีแกน (Vegan) ที่กินแต่ผัก ไม่ยอมกินเนื้อ นม ไข่ ก็เลยหันไปหาผลิตภัณฑ์ทดแทนอย่างอื่นกันหนอ จึงทำให้การขายนมลดลงได้มากขนาดนี้
นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งครับ แต่อีกสองสาเหตุใหญ่ๆ ก็คือเรื่องของการดูแลสุขภาพ และสาเหตุสำคัญที่ DFA บอกว่ามีผลมากที่สุด ก็คือแนวโน้มในเรื่องความยั่งยืนหรือ sustainability ทั้งนี้ก็เพราะเรารู้กันอยู่ว่า วัวที่เป็นผู้ผลิตนมให้เรากินนั้น มันจะ ‘เรอ’ ออกมาเป็นก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก ฟังดูเผินๆ เหมือนเป็นเรื่องตลก (และบางสื่อ อย่างเช่น New York Times ก็ชอบเอาไปล้อเล่นบ่อยๆ ว่าก๊าซเรือนกระจกเกิดจาก ‘ตดวัว’ ทั้งที่จริงๆ แล้ว วัวเรอมากกว่าตดเยอะ) แต่มีการศึกษาของหลายที่ เช่นจากออกซ์ฟอร์ด ที่พบว่าการเลี้ยงวัวมีผลต่อสิ่งแวดล้อมจริงๆ
งานวิจัยนี้บอกด้วยว่า การผลิตนมวัวสร้างก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการผลิตนมอื่นๆ (เช่นนมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลือง) ถึง 3 เท่า ทั้งยังก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1 ใน 4 ของที่มนุษย์ผลิตออกมาทั้งหมดด้วย (อันนี้รวมไปถึงการเลี้ยงวัวเพื่อเอาเนื้อด้วยนะครับ)
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ที่คนกินนมวัวน้อยลง หันมากิน dairy alternatives กันมากขึ้น ก็เพราะคนยุคใหม่เป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่าเรื่องวีแกนและเรื่องสุขภาพ และบางคนก็บอกด้วยว่าในอนาคต แนวโน้มการกินนมอัลมอนด์จะยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันคนยัง underestimate การกินนมธัญพืชเหล่านี้อยู่ ถ้าหันมากินนมจากธัญพืชมากกว่านี้ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล
เพราะฉะนั้น นมอัลมอนด์จึงดีกว่านมวัวแน่ๆ อยู่แง่หนึ่ง นั่นคือมันไม่ได้ผลิตก๊าซเรือนกระจก เพราะอัลมอนด์เรอและตดไม่ได้
แต่คำถามถัดมาก็คือ แล้วในแง่ของสารอาหารที่อยู่ในนมล่ะ ถ้าเป็นนมวัว นมอัลมอนด์ กับนมถั่วเหลือง อะไรดีกว่ากัน
เคยมีบทความชื่อร้อนแรงว่า Lay Off the Almond Milk, You Ignorant Hipsters ของ Tom Philpott (ดูที่นี่) ออกมา เนื้อหาก็คือการบอกว่า พวกฮิปสเตอร์ที่นิยมกินนมอัลมอนด์นี่ มันช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย เพราะว่านมอัลมอนด์นั้นไม่มีอะไรดีเท่าไหร่หรอก
หลายคนกินนมอัลมอนด์เพราะคิดว่านมอัลมอนด์ดีต่อสุขภาพอีกด้วย แต่บทความนี้บอกว่า จริงๆ แล้ว นมอัลมอนด์ไม่ค่อยมีสารอาหารเท่าไหร่ คนจำนวนมากคาดหวังโปรตีน แต่นมอัลมอนด์ทำให้อัลมอนด์ดีๆ ที่เต็มไปด้วยสารอาหารนั้นต้อง ‘เสีย’ (waste) ไป เพราะว่าการคั้นออกมาเป็นนมอัลมอนด์นั้น สารส่วนใหญ่ที่อยู่ในนมอัลมอนด์ก็คือน้ำ บทความนี้บอกว่า ถ้าไปดูในฉลาก จะเห็นตามข้อบังคับเลยว่า ส่วนประกอบแรกก็คือ filtered water หรือ ‘น้ำกรอง’ แล้วจึงค่อยตามมาด้วยอัลมอนด์
ปกติแล้ว ในอัลมอนด์ราว 28 กรัม (คือหนึ่งออนซ์) ที่เป็นเมล็ดแห้งนั้น จะมีโปรตีนอยู่ราว 6 กรัม (เท่าๆ กับไข่หนึ่งฟอง) แล้วก็มีไฟเบอร์ 3 กรัม ที่มีมากที่สุด ก็คือไขมัน ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว 12 กรัม (ราวๆ ครึ่งหนึ่งของอโวคาโดในปริมาณที่เท่ากัน) ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ดีอยู่ แต่พอนำมาทำเป็นนมอัลมอนด์แล้ว บทความข้างต้นบอกว่า ในนมอัลมอนด์ยี่ห้อหนึ่งของอเมริกา หนึ่งเสิร์ฟที่มีปริมาณราวๆ 8 ออนซ์ (คือราวๆ 8 เท่า) จะมีโปรตีนอยู่แค่ 1 กรัม ไฟเบอร์ 1 กรัม และไขมัน 5 กรัมเท่านั้นเอง นั่นคือในระหว่างกระบวนการผลิต นมอัลมอนด์ได้ทำสารอาหารหายไปเยอะมาก