บริษัทไฟเซอร์(Pfizer) แถลงข่าวความสำเร็จ ว่าวัคซีนของบริษัทป้องกันโควิดได้ถึง 90%
ข่าวด่วน !! บริษัทไฟเซอร์(Pfizer) แถลงข่าวความสำเร็จ ว่าวัคซีนของบริษัทป้องกันโควิดได้ถึง 90%
บริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำวิจัยวัคซีนร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทค(BioNTech)ของเยอรมันประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ที่วัคซีนสามารถแสดงประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 90%
ผู้บริหารของบริษัทไฟเซอร์ ได้แถลงข่าวด่วนในวันนี้ว่า จากการทดลองวิจัยวัคซีนเฟสสาม ในอาสาสมัครจำนวนกว่า 43,000 คน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 27 กรกฎาคม 2563 โดยวัคซีนใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า mRNA และวัคซีนใช้ชื่อว่า BNT 162b2
วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย mRNA นี้ เป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่บริษัทโมเดิร์นนา (Moderna) กำลังทดสอบอยู่ในเฟสสามเช่นกัน และเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่คณะแพทยศาสตร์จุฬากำลังจะทดลองในเฟสหนึ่ง
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นของเทคนิคนี้ พอจะสรุปได้ว่า วัคซีนทำงานโดยเป็นการใช้วิศวกรรมทางพันธุศาสตร์ ส่งชิ้นส่วนเล็กๆของยีนไวรัส เข้าไปในร่างกายมนุษย์ แทนที่จะส่งไวรัสเข้าไปทั้งตัว หรือส่งโปรตีนบางส่วนของไวรัสเข้าไปโดยตรง
ประกอบด้วยสามขั้นตอนดังนี้
1) ชิ้นส่วนของรหัสพันธุกรรมนี้ เรียกว่า mRNA
จะมีคำสั่งให้เซลล์พร้อมจะสร้างโปรตีนส่วนที่เป็นหนามของไวรัสก่อโรคโควิด(S-protein หรือ receptor)
2) เมื่อ mRNA ดังกล่าวเข้าเซลล์มนุษย์แล้ว ก็จะกระตุ้นให้เซลล์มนุษย์สร้างโปรตีนส่วนที่เป็นหนามของไวรัส
3) โปรตีนส่วนที่เป็นหนามของไวรัส(ส่วนสีแดง) จะลอยอยู่ในกระแสเลือดของมนุษย์ ก็จะกระตุ้นให้มนุษย์สร้างภูมิคุ้มกัน(ส่วนสีฟ้า)ออกมา เพราะเข้าใจว่าเป็นไวรัสจริงๆ
เมื่อมีภูมิคุ้มกันแล้ว ก็จะสามารถป้องกันโรคโควิดได้ โดยการไปจับกับส่วนหนามของไวรัสไม่ให้ไวรัสมาจับกับเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้
ขณะนี้ มีอาสาสมัครได้รับวัคซีนครบสองเข็มไปแล้วจำนวนกว่า 39,000 คน เป็นการวิจัยทดลองแบบมาตรฐานสูง (DBPCT) คือ มีกลุ่มหนึ่งได้รับวัคซีนจริง อีกกลุ่มหนึ่งได้รับวัคซีนอื่นที่ไม่ได้ป้องกันโควิด(Placebo Controlled) โดยที่ทั้งตัวอาสาสมัครและแพทย์ผู้ฉีดวัคซีนต่างไม่ทราบว่าใครได้รับวัคซีนจริงหรือไม่จริง(Double Blind)
หลังจากนั้นก็ติดตามดูในสถานการณ์จริงว่า เมื่อเกิดมีผู้ติดเชื้อแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อนั้น เกิดจากกลุ่มได้รับวัคซีนกลุ่มใด มากน้อยแตกต่างกันอย่างไร ปรากฏว่าขณะนี้ มีผู้ติดเชื้อในกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 94 คนแล้ว โดยใน 94 คนนี้เป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนถึง 90% และเป็นผู้ที่รับวัคซีนโควิดเพียง 10%
จึงเรียกว่ามีประสิทธิภาพ(Effectiveness)ในการป้องกันโรค 90% เดิมทางบริษัทจะมีการแถลงความสำเร็จของประสิทธิภาพวัคซีน เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ตอนที่มีผู้ติดเชื้อ 32 คนแล้ว แต่ทาง USFDA ขอให้มีจำนวนตัวเลขมากกว่านี้เสียก่อน
วัคซีนของบริษัทนั้น จะฉีดสองเข็ม ห่างกัน 21 วันและพบว่าประสิทธิภาพในการป้องกันโรค เริ่มขึ้น 7 วันหลังเข็มที่สอง หรือ 28 วันหลังเข็มที่หนึ่ง
เป้าหมายของทางบริษัทนั้น จะติดตามอาสาสมัครไปจนพบผู้ติดเชื้อถึง 164 ราย และถ้ายังมีประสิทธิภาพสูงระดับ 90% ก็จะทำการขออนุญาต USFDA จดทะเบียนการใช้แบบฉุกเฉิน (Emergency Use) คาดว่าจะทำได้ในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
การวิจัยนั้น ได้ครอบคลุมถึงกลุ่มเชื้อชาติที่แตกต่างกัน อย่างน้อยในสถานที่ทดลองของสหรัฐ 30% และ 42% ของนานาชาติ
จะได้ขยายการทดลองวัคซีนไปจนถึงเด็กอายุ 12 ปีด้วย โดยปกติแล้ววัคซีนต้องการให้มีประสิทธิภาพ อย่างน้อย 70% แต่ความจำเป็นเร่งด่วนของโควิด จึงมีการพูดคุยกันว่าประสิทธิภาพ 50% ก็อาจจะยอมรับได้
เมื่อวัคซีนบริษัทไฟเซอร์ป้องกันได้ถึง 90% จึงถือว่าเป็นข่าวที่ดีมาก ผู้บริหารของบริษัทได้กล่าวว่า เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์และของมนุษยชาติเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการติดตามดูเรื่องความสามารถในการป้องกันโรคหรือประสิทธิภาพของวัคซีน(Effectiveness) ตลอดจนความปลอดภัย (Safety) ไปอีกอย่างน้อยสองปี ส่วนการพบผลข้างเคียงที่รุนแรงของวัคซีนนั้น โดยทั่วไปมักจะพบในช่วงหกสัปดาห์แรก
ทางUSFDA จึงให้รอจนครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครได้ผ่านการฉีดเข็มสองเป็นเวลาสองเดือนแล้ว จึงพอจะสรุปเรื่องความปลอดภัยได้ และแถลงข่าวได้
ตามแผนการผลิตนั้น บริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนได้ภายในสิ้นปีนี้จำนวน 50 ล้านเข็ม ครอบคลุมประชากร 25 ล้านคน
และปีหน้าคาดว่าจะผลิตได้ 1,300 ล้านเข็ม โดยครอบคลุมประชากร 650 ล้านคนคน
วัคซีนที่มีความหวังใกล้เคียงกัน ได้แก่ บริษัท Moderna บริษัท AstraZeneca และบริษัท Johnson &Johnson รวมทั้งบริษัทของจีนอีกสามบริษัทคือ Sinovac ,Sinopharm และ Cansino
ข่าวดีดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้นของบริษัท Pfizer ขึ้นไป 15% และหุ้นของบริษัท BioNTech ขึ้นไป 22%
เป็นเรื่องที่ ฝ่ายที่เชียร์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คงจะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าวัคซีนในสหรัฐอเมริกาประกาศความสำเร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้คุยไว้ ก็คงจะทำให้คะแนนสูสีใกล้เคียงกับโจ ไบเดนมากขึ้นครับ
Reference
ที่มา : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
|