วัคซีนของมหาวิทยาลัย Oxford ประสบความสำเร็จในมนุษย์
ข่าวดี !!! วัคซีนของมหาวิทยาลัย Oxford
ประสบความสำเร็จในมนุษย์ พบการตอบสนองที่ดี ทั้งระดับภูมิต้านทานสูง และการทำงานของเม็ดเลือดขาวดี
![]() University of Oxford ร่วมกับบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยเบื้องต้น(เฟส 1/2 จาก 3เฟส)ว่า
วัคซีนต้นแบบคือ AZD 1222 สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแบบ Protective Neutralizing Antibody ได้ โดยเกิดควบคู่ (Dual lmmune Action)ไปกับการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวแบบ T-cell ซึ่งคาดว่าจะช่วยป้องกันมนุษย์จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้
ก่อนอื่นขออนุญาติปูพื้น ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องระบบภูมิต้านทาน เรื่องวัคซีน และการวิจัยทดลองกันสักเล็กน้อยครับ
![]() 1) ระบบภูมิต้านทานของมนุษย์ในการต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งแบคทีเรียและไวรัสมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ขอเน้นสองรูปแบบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การที่ร่างกายสร้างโปรตีนในกระแสเลือดออกมาสู้กับเชื้อโรคเรียกว่า ภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibody) และการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ทีเซลล์(T-cell)ให้สามารถออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคได้
2)การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีน มีสามขั้นตอนสำคัญดังนี้
2.1 การทดลองวิจัยในห้องปฏิบัติการ
2.2 การทดลองวิจัยในสัตว์ทดลอง เช่น หนูและลิง
2.3 การทดลองวิจัยในมนุษย์หรืออาสาสมัคร ซึ่งการทดลองในขั้นตอนนี้ ยังแบ่งย่อยออกเป็นอีก 3เฟส หรือ 3ระยะ ได้แก่
เฟส 1 ทดลองดูความปลอดภัย(Safety)ในกลุ่มตัวอย่างจำนวนน้อย
เฟส 2 ทดลองดูความปลอดภัยในกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากขึ้น ดูความสามารถในการกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน
(Immunogenicity) และดูขนาดของวัคซีน(Dosage)ในปริมาณที่แตกต่างกัน
เฟส 3 ดูประสิทธิผล(Effectiveness)ความสามารถของวัคซีนในการป้องกันโรคได้ในสถานการณ์จริง
![]() Professor A.Pollard จากมหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยดังกล่าว ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดว่า การวิจัยโครงการนี้มีชื่อว่า COV001 เป็นการวิจัยตามมาตรฐาน โดยใช้อาสาสมัครจำนวน 1077 คน อายุ 18 ถึง 55 ปี โดยแบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริง AZD1222 โดยจะมีบางส่วนฉีดวัคซีนหนึ่งเข็ม และอีกส่วนหนึ่งฉีดวัคซีนสองเข็ม และมีการตรวจเลือดติดตามเป็นระยะ
กลุ่มที่สองคือ กลุ่มควบคุม(control) ฉีดวัคซีนซึ่งใช้ป้องกันโรคอื่น(Meningococcal Conjugated Vaccine)
การศึกษาวิจัยนี้ทำในศูนย์วิจัยห้าแห่งของสหราชอาณาจักร โดยขนาดวัคซีนที่ใช้คือ ห้าหมื่นล้านชิ้นส่วนไวรัส( 5x10/10 viral particles)
โดยงานวิจัยนี้ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชื่อดัง (Lancet) เป็นการวิจัยร่วมระหว่างบริษัท AstraZeneca กับ University of Oxford ในส่วนของบริษัทลูก(Spin-out company ชื่อ Vaccitech)
ได้พัฒนาร่วมกันโดยใช้หลักการนำไวรัสมาเป็นพาหะ (Viral Vectors)โดยในงานวิจัยนี้ใช้ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัดธรรมดามาทำให้อ่อนกำลังลง (Adenovirus)เพื่อที่จะช่วยพารหัสพันธุกรรมของโคโรนาไวรัสเข้าสู่เซลล์มนุษย์ แล้วทำให้ร่างกายเกิดการสร้างโปรตีนส่วนหนาม(S-Protein)ของไวรัส เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคอีกทอดหนึ่ง
![]() ผลการศึกษาวิจัยในเฟส 1/2 พบว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้สูง 4เท่าเมื่อตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในวันที่ 28 โดยขึ้น 91% ในกลุ่มที่ฉีดเข็มเดียวและขึ้น 100% ในกลุ่มที่ฉีดสองเข็ม ระดับภูมิต้านทานที่ได้อยู่ในระดับเดียวกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่หายแล้ว
ที่สำคัญยังตรวจพบการตอบสนองของทีเซลล์อย่างมากด้วย ตรงนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ในผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ(Asymptotic) และตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันนั้น กลับตรวจพบการตอบสนองของทีเซลล์
จึงคาดว่าทีเซลล์คงจะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคนี้ได้ด้วย ผลข้างเคียงที่ตรวจพบนั้น พบในระดับปกติที่ไม่แตกต่างกับวัคซีนชนิดอื่นๆซึ่งผลิตด้วยเทคนิคเดียวกันในการทำวัคซีน ได้แก่ ปวดตำแหน่งที่ฉีด ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย และอาจมีไข้ได้ เมื่อให้พาราเซตตามอลก่อนฉีดวัคซีนก็พบว่าได้ผลดี และอาการต่างๆเหล่านี้จะลดน้อยลงเมื่อฉีดวัคซีนเป็นเข็มที่สอง
![]() ในขณะนี้(15กค63) องค์การอนามัยโลกได้แจ้งข้อมูลโครงการวิจัยดังนี้ มีโครงการวิจัยทั้งสิ้น 163 โครงการ เป็นการทดลองในสัตว์ทดลอง(Pre-clinical trials)140 โครงการ เป็นการทดลองในมนุษย์(Clinical trials) 23 โครงการ แบ่งออกเป็น
เฟสหนึ่ง 10 โครงการ
เฟสสอง 10 โครงการ
เฟสสาม 3โครงการ วัคซีน
วัคซีนนี้อยู่ในเฟส1/2 และจะขยับเข้าไปทดลองวิจัยในเฟส2/3ในอีกสองเดือนข้างหน้า และนับเป็นหนึ่งในความหวังของวัคซีนร่วมกับโครงการอื่นๆอีก 23 โครงการครับ
หมายเหตุ : วัคซีนของไทยเรา(จุฬาฯ) ก็มีความคืบหน้ามาก ในอีกสองเดือนนี้ก็จะเข้าสู่การทดลองในมนุษย์เฟสหนึ่ง จัดว่าอยู่ในกลุ่มวัคซีนชั้นนำของโลกครับ
Reference
ขอบคุณที่มา : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
|