6 วัคซีนที่จำเป็น ฉีดเสริมภูมิคุ้มกัน
6 วัคซีนที่จำเป็น ฉีดเสริมภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันต่อโรคมาจากไหน? ส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคือการฉีดวัคซีน เเละวันนี้ เรามีวัคซีนที่มีบริการฉีดถึงบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล มานำเสนอ 1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทุกปีมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก โดยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 36,976 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การนอนโรงพยาบาล หรืออาจถึงเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้น ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง 2. วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เชื้อ HPV เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังและก่อให้เกิดมะเร็งหลากหลายชนิด โดยมะเร็งที่สำคัญคือ มะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับสองในผู้หญิง โดยการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จึงควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ชนิด 4 สายพันธุ์ ครอบคลุมสายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป
3. วัคซีนป้องกันงูสวัด โรคงูสวัดส่วนมากจะหายได้เองหลังมีอาการ แต่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรังตามบริเวณเส้นประสาทที่เป็นแสดงอาการของโรค โดยอาการปวดสามารถเป็นได้นาน 90 วันหรือมากกว่านั้นภายหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้มากขึ้นในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางโรคที่ทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปทุกคนรับวัคซีนป้องกันงูสวัด วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส varicella zoster virus (VZR) แนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
4. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ การติดเชื้อปอดอักเสบ นิวโมคอคคัส พบได้บ่อยในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ในคนปกติ อาการของการเชื้อมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ 5. วัคซีนป้องกัน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ให้กับเด็กทุกคนที่มารับวัคซีนในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดระดับลงหลังจากได้วัคซีนครั้งสุดท้าย โดยเมื่อผ่านไปนานเกิน 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำจนอยู่ในระดับเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ แนะนำให้ทุกคนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุก ๆ 10 ปี 6. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการไอจาม ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แนะนำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนตอนเด็ก (วัคซีนเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523) และยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมากก่อน รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
ขอบคุณข้อมูลจาก : Bumrungrad International
|
ภูมิคุ้มกันต่อโรคมาจากไหน? ส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคือการฉีดวัคซีน เเละวันนี้ เรามีวัคซีนที่มีบริการฉีดถึงบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล มานำเสนอ
1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
ทุกปีมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก โดยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 36,976 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การนอนโรงพยาบาล หรืออาจถึงเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้น ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง
2. วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังและก่อให้เกิดมะเร็งหลากหลายชนิด โดยมะเร็งที่สำคัญคือ มะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับสองในผู้หญิง โดยการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จึงควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
3. วัคซีนป้องกันงูสวัด
โรคงูสวัดส่วนมากจะหายได้เองหลังมีอาการ แต่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรังตามบริเวณเส้นประสาทที่เป็นแสดงอาการของโรค โดยอาการปวดสามารถเป็นได้นาน 90 วันหรือมากกว่านั้นภายหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้มากขึ้นในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางโรคที่ทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปทุกคนรับวัคซีนป้องกันงูสวัด
4. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
การติดเชื้อปอดอักเสบ นิวโมคอคคัส พบได้บ่อยในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ในคนปกติ อาการของการเชื้อมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
5. วัคซีนป้องกัน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน
แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ให้กับเด็กทุกคนที่มารับวัคซีนในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดระดับลงหลังจากได้วัคซีนครั้งสุดท้าย โดยเมื่อผ่านไปนานเกิน 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำจนอยู่ในระดับเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ แนะนำให้ทุกคนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุก ๆ 10 ปี
6. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการไอจาม ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แนะนำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนตอนเด็ก (วัคซีนเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523) และยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมากก่อน รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
ภูมิคุ้มกันต่อโรคมาจากไหน? ส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคือการฉีดวัคซีน เเละวันนี้ เรามีวัคซีนที่มีบริการฉีดถึงบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล มานำเสนอ
1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
ทุกปีมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก โดยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 36,976 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การนอนโรงพยาบาล หรืออาจถึงเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้น ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง
2. วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังและก่อให้เกิดมะเร็งหลากหลายชนิด โดยมะเร็งที่สำคัญคือ มะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับสองในผู้หญิง โดยการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จึงควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
3. วัคซีนป้องกันงูสวัด
โรคงูสวัดส่วนมากจะหายได้เองหลังมีอาการ แต่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรังตามบริเวณเส้นประสาทที่เป็นแสดงอาการของโรค โดยอาการปวดสามารถเป็นได้นาน 90 วันหรือมากกว่านั้นภายหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้มากขึ้นในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางโรคที่ทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปทุกคนรับวัคซีนป้องกันงูสวัด
4. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
การติดเชื้อปอดอักเสบ นิวโมคอคคัส พบได้บ่อยในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ในคนปกติ อาการของการเชื้อมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
5. วัคซีนป้องกัน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน
แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ให้กับเด็กทุกคนที่มารับวัคซีนในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดระดับลงหลังจากได้วัคซีนครั้งสุดท้าย โดยเมื่อผ่านไปนานเกิน 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำจนอยู่ในระดับเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ แนะนำให้ทุกคนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุก ๆ 10 ปี
6. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการไอจาม ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แนะนำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนตอนเด็ก (วัคซีนเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523) และยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมากก่อน รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
ภูมิคุ้มกันต่อโรคมาจากไหน? ส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคือการฉีดวัคซีน เเละวันนี้ เรามีวัคซีนที่มีบริการฉีดถึงบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล มานำเสนอ
1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
ทุกปีมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก โดยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 36,976 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การนอนโรงพยาบาล หรืออาจถึงเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้น ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง
2. วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังและก่อให้เกิดมะเร็งหลากหลายชนิด โดยมะเร็งที่สำคัญคือ มะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับสองในผู้หญิง โดยการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จึงควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
3. วัคซีนป้องกันงูสวัด
โรคงูสวัดส่วนมากจะหายได้เองหลังมีอาการ แต่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรังตามบริเวณเส้นประสาทที่เป็นแสดงอาการของโรค โดยอาการปวดสามารถเป็นได้นาน 90 วันหรือมากกว่านั้นภายหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้มากขึ้นในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางโรคที่ทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปทุกคนรับวัคซีนป้องกันงูสวัด
4. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
การติดเชื้อปอดอักเสบ นิวโมคอคคัส พบได้บ่อยในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ในคนปกติ อาการของการเชื้อมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
5. วัคซีนป้องกัน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน
แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ให้กับเด็กทุกคนที่มารับวัคซีนในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดระดับลงหลังจากได้วัคซีนครั้งสุดท้าย โดยเมื่อผ่านไปนานเกิน 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำจนอยู่ในระดับเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ แนะนำให้ทุกคนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุก ๆ 10 ปี
6. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการไอจาม ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แนะนำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนตอนเด็ก (วัคซีนเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523) และยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมากก่อน รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
ภูมิคุ้มกันต่อโรคมาจากไหน? ส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายคือการฉีดวัคซีน เเละวันนี้ เรามีวัคซีนที่มีบริการฉีดถึงบ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล มานำเสนอ
1. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
ทุกปีมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก โดยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่า 36,976 ราย ซึ่งก่อให้เกิดการเจ็บป่วย การนอนโรงพยาบาล หรืออาจถึงเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้น ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง
2. วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ HPV เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังและก่อให้เกิดมะเร็งหลากหลายชนิด โดยมะเร็งที่สำคัญคือ มะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับสองในผู้หญิง โดยการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 99.7 เปอร์เซ็นต์ จึงควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV
3. วัคซีนป้องกันงูสวัด
โรคงูสวัดส่วนมากจะหายได้เองหลังมีอาการ แต่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรังตามบริเวณเส้นประสาทที่เป็นแสดงอาการของโรค โดยอาการปวดสามารถเป็นได้นาน 90 วันหรือมากกว่านั้นภายหลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ภาวะแทรกซ้อนนี้พบได้มากขึ้นในผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังบางโรคที่ทำให้ประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันลดลง แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปทุกคนรับวัคซีนป้องกันงูสวัด
4. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
การติดเชื้อปอดอักเสบ นิวโมคอคคัส พบได้บ่อยในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ในคนปกติ อาการของการเชื้อมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ แนะนำให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ
5. วัคซีนป้องกัน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน
แม้จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ให้กับเด็กทุกคนที่มารับวัคซีนในระบบสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลกมาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดระดับลงหลังจากได้วัคซีนครั้งสุดท้าย โดยเมื่อผ่านไปนานเกิน 10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำจนอยู่ในระดับเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อได้ แนะนำให้ทุกคนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันทุก ๆ 10 ปี
6. วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมีอาการเป็นตุ่มตามผิวหนัง ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือการไอจาม ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ แนะนำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนตอนเด็ก (วัคซีนเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523) และยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมากก่อน รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส