แบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร อีกหนึ่งสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
แบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร อีกหนึ่งสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
อาการปวดท้องที่เกิดจาก โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) เป็นความทรมานติดตัวเรื้อรังอย่างหนึ่งที่มีโอกาสหาย สำหรับคนที่เป็นพอท้องว่างก็ปวด กินข้าวก็ปวด และเชื่อว่าหลายคนที่เป็นโรคนี้มักจะพกยาเม็ดหรือยาน้ำบรรเทาอาการติดกระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ เสมือนญาติพี่น้องที่ขาดกันไม่ได้ กลุ่มเสี่ยง โรคนี้เป็นโรคฮิตที่พบบ่อยมากในทุกเพศทุกวัย แต่มักเกิดกับกลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน โดยจะพบแผลที่บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้นและบริเวณกระเพาะอาหาร ปกติแล้วกระเพาะอาหารคนเราจะมีความทนทานต่อน้ำย่อยซึ่งเป็นกรดที่หลั่งออกมาย่อยสลายอาหารที่เรากินเข้าไป แต่เมื่อใดก็ตามที่น้ำย่อยที่หลั่งออกมาเกิดเสียความสมดุล ส่งผลต่อการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนต้น ส่งผลต่อการย่อยอาหารที่นานขึ้น ผิวกระเพาะอาหารจึงเกิดการอักเสบ นำไปสู่อาการปวดท้องนั่นเอง สาเหตุ สาเหตุที่เราก็รู้กันอยู่ว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรามีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เกิดโรคนี้ ทั้งความเครียด, นอนน้อย นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ, ป่วยเป็นซึมเศร้า, อดอาหาร, กินไม่เป็นเวลา, ชอบดื่มกาแฟ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์, สูบบุหรี่ หรือแม้กระทั่งการกินยาแก้อักเสบหรือยาแก้ปวดบ่อย ๆ จำพวกยาแอสไพริน (Aspirin), ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) หรือ ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ซึ่งเป็นยาที่สร้างความระคายเคืองให้กับเยื่อบุกระเพาะอาหาร และนี่คือเหตุผลที่หมอบอกว่า "ให้กินหลังอาหารทันที"
แบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ คือ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เรียกกันสั้น ๆ ว่า เอช. ไพโลไร (H. Pylori) แบคทีเรียชนิดนี้ลำตัวจะกลม ๆ ยาว ๆ คล้ายหนอน และมีหนวดยาว ๆ คล้ายหมึก เมื่อเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารที่มีแต่น้ำย่อยซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกรด ส่วนใหญ่แล้วเชื้อแบคทีเรียจะตายแต่ชนิดนี้กลับไม่ตาย เพราะมีความสามารถในการผลิตด่างเพื่อป้องกันตัวเอง จึงสามารถต้านทานความเป็นกรดของน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี แบคทีเรียชนิดนี้เมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหารแล้วจะไปแทรกฝังตัวอยู่ในช่องหรือใต้เซลล์ผิวของเยื่อบุกระเพาะอาหาร มีชีวิตยาวนานนับ 10 ปีโดยไม่แสดงอาการอะไรเลย แต่หน้าที่ของมันจะไปกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนแกสตริน (Gastrin) แล้วฮอร์โมนตัวนี้ก็ไปกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมากขึ้น ทำให้กระเพาะอาหารขาดความสมดุลจนทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้
มาจากไหน ? เอช. ไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรียในเขตร้อน มักเกิดจากการสัมผัสกับเชื้อแล้วนำเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องปากจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป เช่น อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ที่ไม่ผ่านความร้อน หรือน้ำไม่สะอาด เป็นอะไรได้อีก ? แบคทีเรียชนิดนี้นอกจากจะทำให้เป็นกระเพาะอาหารอักเสบแล้ว ยังทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ ๆ ได้อีก ซึ่งกระตุ้นให้เกิด โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร รวมถึงยังทำให้เกิด โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บางชนิด และโรคอื่น ๆ ได้ วินิจฉัย สำหรับคนที่มีประวัติเป็นเรื้อรัง อาจจำเป็นต้อง 1. ส่องกล้อง ตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อตรวจหาเชื้อชนิดนี้ โดยจะสอดกล้องเข้าไปทางปาก (สถานพยาบาลบางแห่งอาจใช้วิธีวางยาให้สะลึมสะลือเพื่อลดอาการเจ็บขณะสอดกล้อง) โดยแพทย์อาจจะตัดชิ้นเนื้อภายในกระเพาะอาหารออกมาตรวจ แต่ตัดนิดเดียว ไม่เจ็บ 2. ตรวจผ่านอุจจาระ (Stool antigen test) ด้วยการเก็บตัวอย่างส่งตรวจภายใน 4 ชั่วโมงเพื่อหาซากและโปรตีนของเชื้อ ซึ่งแม่นยำมากถึง 98% 3. ตรวจผ่านลมหายใจ (Urea Breath Test) โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยูเรีย จากนั้นให้ผู้ป่วยเป่าเก็บลมหายใจแล้วไปตรวจหาแอมโมเนีย เพราะแบคทีเรียชนิดนี้ จะเปลี่ยนยูเรียที่ผู้ป่วยกินเข้าไปเป็นแอมโมเนีย ถ้าแอมโมเนียเพิ่มขึ้นแสดงว่ามีเชื้อ ซึ่งแม่นยำถึง 98% กระบวนการเหล่านี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นรักษา หากเจอเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อ 2 ชนิดในกลุ่ม คลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin), อะมอกซีซิลลิน (Amoxycillin) หรือ เมโทรนิดาโซล (metronidazole) โดยจะต้องกินต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วันถึง 2 สัปดาห์ จึงจะกำจัดเชื้อได้กว่า 90% กรณีกินไม่ต่อเนื่อง หยุดกินก่อนครบกำหนดผลคือ เชื้อดื้อยา ที่สำคัญให้กิน ยาลดกรด พร้อมกันด้วย เพื่อสร้างความสมดุลในกระเพาะอาหาร ยายับยั้งการหลั่งกรด ช่วยยับยั้งการหลั่งกรดพร้อมกับรักษาแผลได้ โดยจะต้องรับประทานต่อเนื่อง 4 - 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมี ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และ ยาลดอาการอาเจียน สำหรับคนที่มีอาการด้วย ไม่อยากกินยา ทำอย่างไร ? ถ้าไม่อยากกินยา ง่าย ๆ แค่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตคือ
ที่มา : https://www.thaipbspodcast.com/
|