โลกร้อนทุบสถิติ! มี.ค. 2025 เพิ่มขึ้น 1.6 °C หวั่นคุกคามเป้าหมาย
|
โลกร้อนทุบสถิติ! มี.ค. 2025 เพิ่มขึ้น 1.6 °C หวั่นคุกคามเป้าหมาย
อุณหภูมิเฉลี่ยโลก มีนาคม 2025 สูงกว่าช่วงก่อนอุตสาหกรรม 1.6 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ เตือนเป้าหมายจำกัดการจำกัดโลกร้อนไม่เกิน 1.5 องศาอาจหลุดลอย อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในเดือนมีนาคมสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.6 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเป้าหมายระดับนานาชาติในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังหลุดลอยไปข้อมูลจากรายงานประจำเดือนของโครงการบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service : C3S) ของสหภาพยุโรป (EU) เน้นย้ำถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าเป้าหมายของนานาชาติในการจำกัดภาวะโลกร้อนภายในปี 2100 ไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (2.7 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อเทียบกับระดับยุคก่อนอุตสาหกรรมนั้นกำลังเป็นไปได้ยากทุกที นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ทุก ๆ เศษเสี่ยวขององศาที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงและความถี่ของภัยธรรมชาต่าง ๆ เช่น คลื่นความร้อน ฝนตกหนักและภัยแล้งยุโรปเผชิญทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งในเดือนเดียว “ซาแมนธา เบอร์เจส” (Samantha Burgess) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของศูนย์พยากรณ์อากาศระยะกลางของยุโรป (ECMWF) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ C3S ระบุว่า หลายพื้นที่ของยุโรปประสบกับสภาพอากาศเลวร้ายสุดขั้ว ทั้งฝนตกหนักและภัยแล้งในเดือนมีนาคม
“เบอร์เจส” ระบุว่า “เมื่อเดือนที่แล้ว หลายพื้นที่ในยุโรปเผชิญกับเดือนมีนาคมที่แห้งแล้งที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่บางพื้นที่กลับมีฝนตกหนักทุบสถิติในรอบ 47 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ยังกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลทำให้คลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมทั่วเอเชียกลางทวีความรุนแรงขึ้น และกระตุ้นให้เกิดฝนตกหนักในบางประเทศ อย่าง อาร์เจนตินา น้ำแข็งทะเลอาร์กติกลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์C3S ระบุว่า น้ำแข็งทะเลอาร์กติกเดือนมีนาคมยังลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากการเก็บข้อมูลดาวเทียมในช่วงเดือนมีนาคมตลอดระยะเวลา 47 ปีที่ผ่านมา และเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่ทำลายสถิติต่ำสุด หน่วยงานเฝ้าระวังของสหภาพยุโรปแห่งนี้ใช้ข้อมูลนับพันล้านรายการจากดาวเทียม เรือ เครื่องบินและสถานีตรวจอากาศทั่วโลก เพื่อช่วยในการวิเคราะห์คำนวณสภาพภูมิอากาศ โดยมีข้อมูลย้อนกลัยไปถึงปี 1940
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นต้นเหตุหลักนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติจะทวีความรุนแรงขึ้น แต่ในบางประเทศ เจตจำนงทางการเมืองในการแก้ไขปัญหากลับลดลง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เคยเรียกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็นเรื่องหลอกลวง แม้ว่าวงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจะเห็นตรงกันว่า ภาวะโลกร้อนเกิดจากน้ำมือมนุษย์และจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงหากไม่ได้รับการจัดการแก้ไข ในเดือนมกราคม ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นการโจมตีความพยายามของนานาประเทศทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนและทำให้สหรัฐฯ เหินห่างจากพันธมิตรใกล้ชิดอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ในปี 2015 ประเทศเกือบ 100 แห่งได้ลงนามในข้อตกลงปารีส ตั้งเป้าจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยไม่ให้เกินระดับ 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม คำสั่งของทรัมป์ระบุว่า ข้อตกลงปารีสเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไม่สะท้อนค่านิยมของสหรัฐฯ และเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันไหลไปช่วยเหลือประเทศที่ทรัมป์เห็นว่าไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินหรือไม่สมควรที่จะได้รับจากผลประโยชน์ของประชาชนอเมริกัน โลกถูกครอบงำโดยโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์“ฟรีเดอริก อ็อตโต” (Friederike Otto) จากสถาบันแกรนธัมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Grantham Institute – Climate Change and the Environment) แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอนของอังกฤษให้สัมภาษณ์กับ AFP โดยระบุว่า โลกในตอนนี้กำลังตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์อย่างเต็มตัว และการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงอยู่ที่ 1.6 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจจริง ๆ
ที่มา: Al Jazeera https://www.aljazeera.com/news/2025/4/8/record-global-temperatures-in-march-illustrate-threat-to-climate-goals) CREDIT ภาพ: Reuters
ที่มา : https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/857146
|
