การตรวจอุณหภูมิอย่างเดียวในการคัดกรอง แทบจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดเข้าสถานที่แทบไม่ได้เลย

การตรวจอุณหภูมิ
 
อย่างเดียวในการคัดกรอง แทบจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดเข้าสถานที่แทบไม่ได้เลย
การวัดอุณหภูมิภายนอกมีปัญหามากมาย เช่น
 
1. การตรวจโดยวัดที่หน้าผาก จะต่ำกว่าวัดที่ใต้ลิ้น 0.3-0.6 เซลเซียส
 
2. การวัดที่มือสามารถผิดพลาดได้เยอะมาก โดยเฉพาะหากผู้ถูกวัดถือของร้อนหรือเย็นก่อนวัด ได้มากถึงหลายเซลเซียสเลยทีเดียว
 
3. การวัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัสยิ่งผิดพลาดเยอะ หากมีลมร้อน/เย็นเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจุดวัดภายในห้างร้านที่มักมีม่านแอร์ รวมไปถึงการวัดผิวหนังที่ไม่แห้ง เพราะความชื้นหรือเหงื่อจะทำให้อุณหภูมิพื้นผิวลดลง
 
4. การวัดอุณหภูมิที่แม่นยำ และแนะนำ คือ การวัดที่ใต้ลิ้น รักแร้ หรือทวารหนัก
 
5. คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อโคโรน่าไวรัส จะไม่มีอาการเลย ส่วนคนที่มีอาการก็มีบางส่วนไม่มีอาการไข้ หากมีคนติดเชื้อที่ไม่มีอาการ 80% นั่นแปลว่า ถ้ามีคนติดเชื้อเดินเข้าอาคารไป 10 คน เราจะตรวจจับได้เพียง 2 คนเท่านั้น ถ้าเครื่องวัดอุณหภูมิแม่นยำพอ และมีคนปฏิเสธการเข้าอาคารที่เข้มงวด
 
 
ทั้งนี้ผลการศึกษาของ Cochrane พบว่า การตรวจอุณหภูมิจาก 6 ผลการศึกษา 14,741 คน พบว่ามีการระบุว่าคนที่ติดเชื้อถึง 77-100% ว่าปกติดี ในขณะที่ระบุว่าคนที่สุขภาพปกติ ติดเชื้อ 0-10% (https://www.cochrane.org/news/cochrane-rapid-review-investigates-effectiveness-screening-covid-19)
 
 
ส่วน Dr. Fauci หัวหน้าสถาบันภูมิแพ้ และโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกาก็บอกเช่นกัน และบอกว่าทำเนียบขาวและสถาบันสุขภาพแห่งชาติก็ได้ยกเลิกการวัดอุณหภูมิ เพราะประสบปัญหาเรื่องความแม่นยำของการวัดอุณหภูมิเช่นกัน
 
 
สำหรับในที่ทำงาน เขาแนะนำให้พนักงานคอยเช็คอุณหภูมิและสังเกตอาการที่บ้านก่อนเข้าที่ทำงาน หากสังเกตความผิดปกติให้อยู่บ้าน (https://www.beckershospitalreview.com/public-health/fauci-temperature-checks-often-notoriously-inaccurate.html)
 
 
หากลองสังเกต เวลาคุณไปวัดอุณหภูมิ คุณจะสังเกตว่าอุณหภูมิไม่ใกล้ 37C เลย ผมเคยวัดได้ 32C เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นโอกาสจะจับใครที่มีไข้แทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นในหลายประเทศไม่แนะนำให้วัดอุณหภูมิในการคัดกรองหลัก ควรใช้การคัดกรองผ่านการตรวจสอบอาการแวดล้อมเสริมด้วย
 
 
ช่างเป็นการลงทุนที่มีประโยชน์น้อย เพียงเพื่อทำให้รู้สึกว่ามีการคัดกรองแล้วนั่นเอง และยังทำให้เกิดความรู้สึกว่าปลอดภัยอย่างปลอมๆ อีกด้วย
 
 
Visitors: 1,218,324