ในขณะที่นักเรียนบางชั้นในอังกฤษจะกลับไปโรงเรียนวันที่ 1 มิ.ย. ในไทย กระทรวงศึกษาธิการประกาศเลื่อนการเริ่มภาคการศึกษาใหม่เป็น 1 ก.ค.
หลายประเทศมีการถกเถียงกันมากมายถึงมาตรการป้องการไม่ให้โรคโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ในไทยมีทั้งฝ่ายที่กังวลอยากให้เลื่อนการเปิดเทอมออกไปอีก บ้างอยากให้กลับมาเปิดเรียนทันทีเพราะปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งด้านการเข้าถึงการเรียนการสอน รวมถึงการดูแลสวัสดิภาพของเด็กที่โรงเรียนจะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ไปได้ นอกจากนี้ ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่โรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มจะได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดเรียนเร็วกว่า
ในการประชุมใหญ่ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติให้คงวันเปิดภาคเรียนไว้เป็นวันที่ 1 ก.ค. แต่เปิดทางให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาให้โรงเรียนบางแห่งเปิดเรียนก่อนหน้านั้นได้เป็นกรณี ๆ ไป หากพบว่าไม่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคและมีความจำเป็น เช่น เป็นโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จำนวนนักเรียนและบุคลากรน้อย และมีการวางมาตรการป้องกันโรค เช่น การเหลื่อมเวลาเข้าเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้ ศบค. ยังผ่อนปรนให้โรงเรียนสอนอาชีพและการกีฬากลับมาสอนได้ ส่วนโรงเรียนที่ปิดอยู่ก็ให้ใช้สถานที่เพื่อการสอบคัดเลือกหรือจัดคอร์สอบรมระยะสั้นได้
โรคโควิด-19 เป็นอันตรายต่อเด็กแค่ไหน
เด็กมีความเสี่ยงป่วยจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่ำมาก ตรงกันข้ามกับผู้ใหญ่ที่มีแนวโน้มป่วยหนักและมีอาการแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิต
ทั่วสหราชอาณาจักร การเสียชีวิตจากโควิด-19 ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 คิดเป็น 0.01 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคนที่อายุ 15-44 ปี คิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่อายุมากกว่า 75 ปี คิดเป็นราว 75 เปอร์เซ็นต์
งานวิจัยขององค์กรการกุศลแห่งหนึ่งระบุว่า ถึงวันที่ 15 พ.ค. ครึ่งหนึ่งของคนไข้โควิด-19 ที่ต้องเข้าแผนกผู้ป่วยหนักในอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือเป็นผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป และอีกครึ่งหนึ่งอายุน้อยกว่านั้น
แต่โดยรวมแล้ว คนไข้ส่วนใหญ่อายุมากกว่า 50 ปี และน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี
เด็กสามารถแพร่เชื้อไวรัสไปสู่เด็กด้วยกันได้ไหม
นี่ยังเป็นปริศนาข้อหนึ่งเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ยังไม่ชัดเจนว่าคนติดเชื้อคนหนึ่งที่มีอาการไม่หนักหรือไม่มีอาการเลย ไม่ว่าจะอายุเท่าไร มีแนวโน้มแพร่เชื้อแค่ไหน
เราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ด้วยการตรวจแอนติบอดีเพื่อดูว่าใครบ้างในหมู่ประชากรที่เคยติดเชื้อไวรัสมาและทำความเข้าใจว่าพวกเขาไปติดเชื้อมาได้อย่างไร
ยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน ได้ข้อสรุปจากหลักฐานที่มีว่าเด็กมีแนวโน้มติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น้อยกว่าผู้ใหญ่ครึ่งหนึ่ง
กลุ่มที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน (Scientific Advisory Group for Emergencies) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร บอกว่า มีหลักฐานพอสมควรที่ชี้ว่าเด็กมีแนวโน้มติดเชื้อและแพร่เชื้อน้อยกว่า แต่ก็ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งทำการศึกษาผู้ติดเชื้อในเมืองเซินเจิ้นของจีนเมื่อต้นปีชี้ว่า เด็กมีแนวโน้มติดเชื้อเท่ากันกับผู้ใหญ่ ทำให้เกิดความกังวลว่าเด็กอาจแพร่เชื้อโดยที่ไม่แสดงอาการได้ แต่งานวิจัยหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ทำให้คนคลายกังวลไปได้บ้าง
งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษากลุ่มผู้ติดเชื้อในครอบครัวทั่วประเทศจีน ซึ่งใช้วิธีการตามรอยผู้ติดเชื้อ ระบุว่า ไม่มีแนวโน้มว่าการติดเชื้อที่เกิดขึ้นมาจากการแพร่เชื้อโดยเด็ก ๆ
การศึกษากลุ่มผู้ติดเชื้อแถบเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศสพบว่า เด็กคนหนึ่งที่ติดเชื้อมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากกว่า 100 คนระหว่างที่มีอาการ แต่ไม่มีใครเลยที่ติดเชื้อจากเด็กคนนี้
งานวิจัยในไอซ์แลนด์ เกาหลีใต้ เนเธอแลนด์ และอิตาลี ก็พบหลักฐานว่าเด็กมีแนวโน้มติดเชื้อน้อยกว่า
ความเสี่ยงต่อบุคลากรในโรงเรียน
เมื่อเด็กกลับไปโรงเรียนมากขึ้นก็เท่ากับว่าต้องมีครูเพิ่มขึ้นด้วย และก็ต้องมีพ่อแม่ที่เดินทางมาเพื่อรับ-ส่งลูก
มีรายงานว่าในประเทศสหภาพยุโรป 22 ประเทศที่ให้โรงเรียนกลับมาเปิดเป็นบางส่วน ไม่พบว่าทำให้เกิดยอดผู้ติดเชื้อมากขึ้นอย่างน่ากังวล ทั้งในหมู่นักเรียนและครูอาจารย์
ฝรั่งเศสรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากให้โรงเรียนบางแห่งกลับมาเปิดการเรียนการสอน
อย่างไรก็ดี องค์การอนามัยโลกก็บอกว่าเด็กมีแนวโน้มติดเชื้อและแพร่เชื้อน้อยกว่าผู้ใหญ่
ทำไมให้เด็กอนุบาลและประถมกลับไปเรียนก่อน
รัฐบาลสหราชอาณาจักรอยากจะให้เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล ป.1 และ ป.6 กลับไปเรียนก่อนเพราะว่า
- เด็กชั้นปีเหล่านี้มีความต้องการด้านการศึกษาที่สำคัญ
- เด็กอายุน้อยมีแนวโน้มป่วยน้อยกว่าหากติดเชื้อ
- เด็กโตกว่ามีแนวโน้มจะไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ มากกว่า และจะยิ่งเสี่ยงแพร่เชื้อ
- เด็กโตกว่ามักจะเรียนหนังสือจากที่บ้านได้ดีกว่า
รัฐบาลสหราชอาณาจักรบอกว่า ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. จะให้นักเรียนชั้น ม.4 และ ม.6 กลับไปเรียน อย่างไรก็ดี จะให้เด็กจำนวน 1 ใน 4 ไปโรงเรียนเท่านั้นในแต่ละครั้ง และรัฐบาลก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้นักเรียนชั้นประถมกลับไปเรียนพร้อมกันทั้งหมดเมื่อไร