จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความละอาย เทย์เลอร์ สวิฟต์ สุนทรพจน์งานรับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่

The People Talk: “จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความละอาย” เทย์เลอร์ สวิฟต์ สุนทรพจน์งานรับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่

“จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความละอาย” เทย์เลอร์ สวิฟต์ แนะเคล็ดลับการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จในสุนทรพจน์งานรับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่

**The People Talk ครั้งนี้ พาไปติดตามสุนทรพจน์ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ในพิธีรับปริญญาบัตรของนักศึกษามหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) ที่สนามแยงกี สเตเดียม (Yankee Stadium) ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ.2022

“ความน่าละอายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ตราบใดที่ยังมีชีวิต” นักร้องสาวผมทองเจ้าของรางวัลแกรมมี่ 11 รางวัล บอกกับนักศึกษาจบใหม่ ขณะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะผู้ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิจิตรศิลป์ จาก NYU

สุนทรพจน์ดังกล่าวนอกจากจะบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวในฐานะนักร้อง - นักแต่งเพลง วัย 32 ปี ที่เริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุยังน้อย เธอยังเผยเคล็ดลับการจัดการชีวิตที่ทำให้ประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินหญิงแถวหน้าของอเมริกายุคปัจจุบันเคล็ดลับดังกล่าวมีตั้งแต่วิชา ‘จับแล้วปล่อย’ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความละอาย และพยายามทำสิ่งที่สนใจโดยไม่กลัวความผิดพลาด

และนี่คือสุนทรพจน์เต็มความยาวประมาณ 20 นาที ของศิลปินหญิงที่ชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์“

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเทย์เลอร์ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้อยู่ในสนามกีฬาใหญ่ขนาดนี้ ฉันเต้นอยู่บนรองเท้าส้นสูง สวมชุดรัดรูปประกายวิบวับ แต่ชุดนี้ (ครุยรับปริญญา) ใส่สบายกว่ามากฉันอยากขอบคุณคำโต ๆ ไปยังประธานสภา NYU (มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก) คุณบิลล์ เบิร์คลีย์ และกรรมการสภาทุกคน ท่านอธิการบดี NYU แอนดรูว์ แฮมิลตัน, รองอธิการบดีแคเธอลีน เฟลมมิง เหล่าคณาจารย์และศิษย์เก่าทุกท่านที่มาอยู่ที่นี่วันนี้ และทำให้มีวันนี้ได้ฉันภูมิใจมากที่ได้มาร่วมงานวันนี้กับเพื่อนผู้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เหมือนกันอย่างซูซาน ฮอคฟิลด์ และเฟลิกซ์ มาทอส โรดริเกซ ผลงานของท่านทั้งสองที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้นทำให้ฉันรู้สึกต่ำต้อยกรณีของฉัน ฉันมั่นใจ 90 เปอร์เซ็นต์ว่าเหตุผลหลักที่ได้มายืนตรงนี้ก็เพราะฉันมีผลงานเพลงชื่อ ‘22’

ฉันขอพูดเลยว่าฉันรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่กับพวกคุณในวันนี้เพื่อเฉลิมฉลองวันสำเร็จการศึกษาของเด็กมหาวิทยาลัยนิวยอร์กรุ่นปี 2022 (Class of 2022)

ไม่มีใครที่นี่ในวันนี้ทำสำเร็จได้เพียงลำพัง

เราแต่ละคนล้วนเป็นผืนผ้าที่นำมาเย็บต่อกันด้วยฝีมือของคนที่รักเรา คนที่เชื่อมั่นในอนาคตของเรา คนที่เมตตาและใจดีกับเรา หรือบอกความจริงกับเราแม้ในยามที่มันไม่ง่ายที่จะฟัง คนที่บอกกับเราว่าเราทำได้ในยามที่ไม่มีอะไรสามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนใครบางคนที่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังและสอนให้คุณกล้าฝัน แนะนำหลักศีลธรรมบางข้อว่าอะไรถูก - อะไรผิด เพื่อให้คุณได้ลองทำตามใครบางคนที่พยายามเต็มที่ในการอธิบายทุกแนวคิดบนโลกอันซับซ้อนน่าปวดหัวนี้แก่เด็กน้อยอย่างคุณในขณะที่คุณมีคำถามมากมายเป็นพันล้านอย่าง ‘พระจันทร์ทำงานอย่างไร’ และ ‘ทำไมเรากินสลัดได้แต่กินหญ้าไม่ได้’บางทีพวกเขาอาจทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ - ไม่มีใครทำได้ - บางทีพวกเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว

ในกรณีนั้น ฉันหวังว่าวันนี้คุณจะนึกถึงพวกเขา หากพวกเขาอยู่ที่นี่ในสนามกีฬาแห่งนี้ ฉันหวังว่าคุณจะพบหนทางของตัวเองในการแสดงความซาบซึ้งใจต่อทุกย่างก้าวทั้งที่ก้าวถูกและก้าวพลาดซึ่งนำเรามายังจุดหมายปลายทางร่วมกันฉันรู้ว่าคำต่าง ๆ ควรเป็น ‘สิ่งนั้น’ ที่ฉันพูดออกไป แต่ฉันไม่มีวันหาคำใดมาขอบคุณพ่อแม่และออสติน น้องชายของฉัน สำหรับความเสียสละที่พวกเขาทำทุกวันเพื่อให้ฉันสามารถก้าวจากการร้องเพลงในร้านกาแฟจนมายืนตรงนี้กับพวกคุณในวันนี้ เพราะไม่มีคำพูดใดบรรยายได้ดีพอถึงบรรดาผู้ปกครองที่น่าเหลือเชื่อ สมาชิกครอบครัว ผู้ให้คำชี้แนะ อาจารย์ มิตรสหายและผู้ที่เรารักทุกคนที่นี่ในวันนี้ ผู้คอยให้การสนับสนุนนักศึกษาเหล่านี้ในการไขว่คว้าความร่ำรวยทางการศึกษา ฉันขอบอกกับคุณตอนนี้ว่า ‘Welcome to New York’ (ยินดีต้อนรับสู่นิวยอร์ก) มันกำลังรอพวกคุณอยู่

ฉันขอขอบคุณ NYU ที่ทำให้ฉันได้เป็นด็อกเตอร์ อย่างน้อยก็ทางเทคนิคบนกระดาษ แม้จะไม่ใช่ด็อกเตอร์ที่คุณอยากให้มาอยู่ใกล้ ๆ ยามฉุกเฉิน หากไม่ใช่เหตุฉุกเฉินแบบเจาะจงอย่างการที่คุณอยากฟังเพลงที่มีท่อนฮุคติดหูและท่อนส่งที่ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ได้เมามันจนทนไม่ไหว หรือเป็นเหตุฉุกเฉินที่คุณต้องการใครสักคนที่สามารถบอกชื่อแมวกว่า 50 สายพันธุ์ได้ภายในเวลา 1 นาที

ตัวฉันเองไม่เคยมีประสบการณ์เรียนมหาวิทยาลัยเหมือนคนทั่วไป

ฉันเข้าเรียนไฮสคูลของรัฐบาลจนถึงเกรด 10 (ม.4) และจบการศึกษาออกมาด้วยการเรียนโฮมสคูลตามพื้นสนามบิน จากนั้นก็ตระเวนออกทัวร์ตามสถานีวิทยุ ซึ่งฟังดูแล้วอาจเลิศหรูอย่างเหลือเชื่อ แต่ความจริงแล้วมันคือการอยู่บนรถเช่า โรงแรมข้างถนน และแม่กับฉันต้องแกล้งทะเลาะกันเสียงดังลั่นตอนขึ้นเครื่องสายการบินเซาท์เวสต์ เพื่อไม่ให้ใครอยากมานั่งตรงเบาะว่างข้าง ๆ เราตอนเป็นเด็ก ฉันมักคิดเสมอว่าอยากออกจากบ้านไปเข้าเรียนมหา’ลัย จินตนาการว่าฉันมีโปสเตอร์ติดเต็มผนังห้องตอนอยู่หอชั้นปี 1 ฉันถึงจัดฉากในมิวสิควิดีโอเพลง ‘Love Story’ ให้เหมือนมหา’ลัยในจินตนาการ เป็นสถานที่ที่ฉันได้เจอนายแบบหนุ่มอ่านหนังสือบนสนามหญ้า และแค่สบตากันครั้งเดียวเราก็รู้ทันทีว่าเคยเป็นคู่รักกันมาแต่ชาติปางก่อน นี่คือสิ่งที่คุณทุกคนล้วนเคยประสบมา ณ จุดหนึ่งใน 4 ปีที่ผ่านมาเป๊ะเลยใช่ไหม?

อันที่จริงฉันไม่สามารถบ่นเรื่องไม่มีประสบการณ์เรียนมหา’ลัยเหมือนคนทั่วไปกับพวกคุณ เพราะคุณต้องเข้าเรียน NYU ในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่ ทำให้ถูกขังอยู่แต่ในหอพักด้วยความจำเป็น หรือต้องเรียนผ่าน Zoom นักศึกษามหา’ลัยทุกคนในช่วงปกติจะเคร่งเครียดเรื่องคะแนนสอบ แต่พวกคุณยังมีเรื่องต้องผ่านการตรวจโควิดนับพัน ๆ ครั้งให้เครียดด้วย

ฉันจินตนาการถึงความคิดเรื่องประสบการณ์เรียนมหา’ลัยแบบคนทั่วไปที่พวกคุณทุกคนต้องการเช่นกัน แต่กรณีนี้ทั้งคุณและฉันได้เรียนรู้พร้อมกันว่า คุณไม่สามารถได้ทุกอย่างที่คุณเลือกจากเมนูในถุงที่คุณรับมาจากคนส่งเดลิเวอรี่เสมอไป นั่นคือชีวิต คุณได้รับสิ่งที่รับมา และที่ฉันอยากจะบอกกับคุณก็คือ คุณควรภูมิใจกับสิ่งที่ทำได้ วันนี้คุณจบจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และออกไปสู่โลกภายนอกเพื่อค้นหาสิ่งที่อยู่ถัดไป ฉันก็เช่นกันนี่คือกฎ

ฉันพยายามจะไม่ให้คำแนะนำใครหากไม่มีการร้องขอ ฉันจะอธิบายสิ่งนี้ให้ทราบทีหลัง ฉันเดาว่าฉันได้รับการร้องขอมาอย่างเป็นทางการในสถานการณ์นี้ ให้มามอบประสบการณ์ความรู้อะไรก็ได้ที่มี และบอกคุณถึงสิ่งที่เคยช่วยฉันเท่าที่เคยได้มาในชีวิตโปรดระลึกไว้เสมอว่า ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะมาบอกว่าคุณควรทำอะไร เพราะคุณก็ทำงาน ต่อสู้ดิ้นรน เสียสละ เล่าเรียนและทำตามฝันในทางของคุณเองจนมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ คุณรู้ดีว่าคุณกำลังทำอะไร คุณจะทำในสิ่งที่แตกต่างจากฉันด้วยเหตุผลต่างกันมากมายฉันจะไม่บอกคุณว่าต้องทำอะไรเพราะไม่มีใครชอบสิ่งนั้น อย่างไรก็ดี ฉันจะบอกเทคนิคการจัดการชีวิตบางอย่าง เป็นสิ่งที่ฉันรับรู้มาตอนเริ่มทำงานอาชีพในฝัน และเป็นเครื่องนำทางชีวิต ความรัก แรงกดดัน ทางเลือก ความอับอาย ความหวังและมิตรภาพ

เรื่องแรกก็คือ...ชีวิตจะเป็นเรื่องหนักหนาหากคุณพยายามแบกทุกอย่างไว้บนบ่าพร้อมกัน

ในช่วงที่กำลังเติบโตและเคลื่อนเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต มันคือช่วงที่ต้อง ‘จับแล้วปล่อย’ (catch and release)ความหมายของมันก็คือ ต้องรู้ว่าสิ่งใดควรเก็บรักษาไว้ และสิ่งใดต้องปล่อยทิ้งไป คุณไม่สามารถแบกทุกสิ่ง ทุกความคับแค้น ทุกเรื่องราวอัพเดตเกี่ยวกับแฟนเก่า ทุกการเลื่อนขั้นอันน่าอิจฉาของคนที่เคยรังแกคุณสมัยเรียน ซึ่งทำงานในบริษัทเฮดจ์ฟันด์ที่ลุงของเขาเป็นผู้ก่อตั้งตัดสินใจว่าอะไรที่คุณจะรักษาไว้และปล่อยสิ่งที่เหลือทิ้งไป บ่อยครั้งที่สิ่งดี ๆ ในชีวิตคือการทำตัวเบา ๆ และมีที่ว่างเพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์หนึ่งซึ่ง toxic (เป็นพิษ) สามารถทำลายความสุขง่าย ๆ อันแสนวิเศษมากมายที่มี คุณต้องเลือกว่าชีวิตควรมีเวลาและที่ว่างให้กับสิ่งใด จงแยกแยะให้ได้

เรื่องที่สอง...จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความน่าละอาย (cringe)

ไม่ว่าคุณพยายามอย่างหนักเพียงใดเพื่อหลีกเลี่ยงความน่าละอาย คุณจะมองย้อนกลับไปที่ชีวิตตัวเองและรู้สึกละอายกับเรื่องที่เคยทำในอดีต ความน่าละอายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ตราบใดที่ยังมีชีวิต แม้แต่คำว่า ‘ความน่าละอาย’ สักวันหนึ่งยังอาจถือเป็น ‘ความน่าละอาย’ ได้เหมือนกันฉันรับปากเลยว่า บางทีคุณอาจกำลังทำหรือสวมใส่บางสิ่งตอนนี้ที่คุณจะมองย้อนกลับมาและพบว่ามันน่าขยะแขยงหรือขบขัน คุณเลี่ยงไม่ได้หรอก ดังนั้นจึงอย่าพยายามเลี่ยงมัน ยกตัวอย่างเช่น ฉันเคยมีช่วงเวลาตลอดปี 2012 ที่แต่งตัวเหมือนแม่บ้านยุค 1950s แต่รู้ไหม ฉันมีความสุขมากตอนนั้น เทรนด์และช่วงเวลาต่าง ๆ คือความสนุก การมองย้อนกลับไปและได้หัวเราะก็สนุกเช่นกันขณะที่เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ทำให้เราอายม้วนทั้งที่ความจริงแล้วไม่ควร ฉันอยากบอกว่า ฉันคือผู้สนับสนุนรายใหญ่เรื่องการไม่ปิดบังความหลงใหลคลั่งไคล้ในสิ่งต่าง ๆ ของตัวเอง

สำหรับฉันดูเหมือนมันมีความเชื่อผิด ๆ เรื่องตราบาปเกี่ยวกับความทะยานอยากในวัฒนธรรม ‘ความคลุมเครือไม่ใส่ใจ’ (unbothered ambivalence) ของเราทัศนะนี้เป็นการสืบสานแนวคิดที่ว่า มันไม่เท่ (cool) ที่จะแสดงความ ‘ต้องการมัน’ (want it) ออกมา คนที่ไม่พยายามอย่างหนักโดยพื้นฐานแล้วคือคนที่มีความเก๋ (chic) กว่าผู้ที่ใช้ความพยายาม ฉันไม่รู้ว่าทำไมเพราะฉันเองก็เป็นมาแล้วหลายอย่างแต่ไม่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ‘ความเก๋ไก๋’ ซะทีกระนั้นฉันเป็นคนหนึ่งที่ขึ้นมาอยู่ตรงนี้ ดังนั้นต้องฟังฉันให้ดีเมื่อฉันพูดสิ่งนี้ว่า

 

...จงอย่าอายที่จะพยายาม

การไม่พยายามเป็นความเชื่อโบราณที่ไม่จริง คนที่ ‘ต้องการมัน’ อย่างน้อยคือคนที่ฉันอยากออกเดตและเป็นเพื่อนสมัยเรียนไฮสคูล คนที่แสดงความต้องการมันออกมามากที่สุดคือคนที่ฉันจ้างมาทำงานในบริษัทของฉันตอนนี้ฉันเริ่มแต่งเพลงตอนอายุ 12 นับจากนั้นมันกลายเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต และในทางกลับกัน ชีวิตของฉันก็นำทางการแต่งเพลง ทุกสิ่งที่ฉันทำแค่เป็นส่วนต่อขยายของการแต่งเพลง ไม่ว่าจะเป็นงานกำกับวิดีโอหรือหนังสั้น การสร้างสรรค์ภาพ (visual) สำหรับออกทัวร์ หรือการยืนแสดงบนเวที ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับความรักในงานฝีมือ ความตื่นเต้นที่ได้ทำงานผ่านแนวคิดต่าง ๆ และจำกัดความคิดให้แคบลง ก่อนขัดเกลาทุกอย่างให้สมบูรณ์ในท้ายที่สุดการตัดต่อ การตื่นขึ้นมากลางดึกและโยนความคิดเก่าทิ้งไปเพราะเพิ่งนึกไอเดียใหม่ที่ดีกว่าออก กลวิธีสร้างโครงเรื่องที่มัดรวมเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันมีเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงเรียกมันว่าท่อนฮุค

บางครั้งถ้อยคำที่ร้อยเรียงกันก็ทำให้ฉันติดกับ ไม่สามารถโฟกัสกับเรื่องอื่นได้จนกว่ามันจะถูกอัดหรือจดบันทึกไว้การเป็นนักแต่งเพลงทำให้ฉันไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ หรืออยู่ในสถานที่สร้างสรรค์เพียงแห่งเดียวเป็นเวลานาน ๆ ฉันทำเพลงและออกผลงานมาแล้ว 11 อัลบั้ม ในกระบวนการนั้นฉันเปลี่ยนแนวเพลงจากคันทรี มาสู่ป๊อป อัลเทอร์เนทีฟ และโฟล์ค สิ่งนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นบทสนทนาที่เน้นหนักในเรื่องนักแต่งเพลง แต่ในทางเดียวกัน ฉันคิดจริง ๆ ว่า

...เราทุกคนล้วนเป็นนักเขียน

และพวกเราส่วนใหญ่เขียนในน้ำเสียงที่ต่างกันไปตามสถานการณ์คุณเขียนเรื่องราวใน Instagram แตกต่างจากในวิทยานิพนธ์ปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษา คุณส่งอีเมลหาเจ้านายต่างจากที่ส่งจากบ้านไปหาเพื่อนสนิท เราทุกคนล้วนเป็นกิ้งก่าเชิงวรรณกรรม และฉันก็มองว่ามันงดงาม มันเป็นแค่ความต่อเนื่องของความคิดที่เราเป็นได้มากมายหลายสิ่งในทุกเวลา และฉันก็รู้ว่ามันอาจมากมายล้นหลามเกินกว่าจะคิดออกว่าจะเป็นใคร เมื่อใด คุณเป็นใครในตอนนี้และจะต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ได้ไปในที่ที่ต้องการฉันมีข่าวดีมาบอก ‘ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง’ และฉันยังมีข่าวน่าสะพรึงกลัวมาบอกด้วยว่า ‘ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเอง’ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉันจะไม่ให้คำแนะนำใด ๆ หากไม่มีใครร้องขอ และฉันจะบอกตอนนี้ว่าเพราะอะไรในฐานะเป็นคนเริ่มต้นทำอาชีพที่เป็นสาธารณะมาก ๆ ตั้งแต่อายุ 15 มันมีราคาที่ต้องจ่าย และราคานั้นคือคำแนะนำไม่พึงประสงค์ที่กินเวลายาวนานหลายปี การเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในทุกห้องที่ไปมาเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ นั่นหมายความว่าฉันได้รับคำตักเตือนเป็นเนืองนิจจากบรรดาสมาชิกที่แก่กว่าทั้งในอุตสาหกรรมดนตรี สื่อมวลชน นักสัมภาษณ์ และผู้บริหารคำแนะนำนี้บ่อยครั้งแสดงออกมาในรูปแบบการตักเตือนทางอ้อม ฉันเป็นเด็กวัยรุ่นในสายตาสาธารณะในช่วงเวลาที่สังคมหมกมุ่นเต็มที่กับแนวคิดของการมีบุคคลต้นแบบที่เป็นสตรีวัยรุ่นผู้ดีพร้อม (perfect) มันรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่ฉันให้สัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์มักมีคำพูดทิ่มแทงเบา ๆ เกี่ยวกับว่าสักวันฉันจะ ‘ออกนอกลู่นอกทาง’ คำ ๆ นั้นมีความหมายแตกต่างกันไปสำหรับคนพูดคำนั้นกับฉันฉันจึงกลายเป็นวัยรุ่นที่ถูกป้อนข้อมูลใส่หัวว่าหากไม่ทำอะไรผิดพลาด

เด็กทุกคนในอเมริกาจะโตมาเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม ถ้าฉันเกิดพลาดพลั้ง โลกทั้งใบจะหลุดออกจากแกนและเป็นความผิดของฉันทั้งหมดเพียงลำพัง ฉันจะถูกส่งเข้าห้องขังดาราเพลงป๊อปไปตลอดกาล ทั้งหมดนี้ล้วนรวมศูนย์อยู่บนแนวคิดที่ว่า ความผิดพลาดเท่ากับความล้มเหลว และจะนำไปสู่ปลายทางของการเสียโอกาสมีชีวิตที่มีความสุขหรือน่าพึงพอใจนี่ไม่ใช่ประสบการณ์ของฉัน ประสบการณ์ของฉันคือ

...ความผิดพลาดนำฉันไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตความละอายเมื่อคุณทำผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์ การได้รับการสนับสนุน ลุกขึ้นปัดฝุ่นตัวเองใหม่ และได้พบกับใครที่ยังต้องการคบหากับคุณ และหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน นั่นคือของขวัญช่วงเวลาที่ฉันถูกปฏิเสธด้วยคำว่า ‘no’ หรือไม่ถูกนับรวมเข้าไป ไม่ใช่ผู้ถูกเลือก ไม่ได้เป็นผู้ชนะ ไม่ผ่านการตัดตัว... เมื่อมองย้อนกลับไป มันรู้สึกคล้ายช่วงเวลาเหล่านั้นถ้าไม่มีคุณค่าอย่างยิ่งยวดกว่า ก็มีความสำคัญกว่าช่วงเวลาที่ฉันได้รับคำตอบรับว่า ‘ใช่’ (yes)การไม่ถูกเชื้อเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงและต้องกลับไปนอนค้างในบ้านเกิดทำให้ฉันรู้สึกว้าเหว่ไร้ความหวัง แต่เพราะฉันรู้สึกเดียวดาย

ฉันจึงได้นั่งอยู่ในห้องของตัวเองและแต่งเพลงที่จะทำให้ฉันได้ตั๋วไปที่อื่นการมีผู้บริหารค่ายเพลงในเมืองแนชวิลล์ มาบอกว่ามีแค่แม่บ้านอายุ 35 เท่านั้นที่ฟังเพลงคันทรี และพวกเขาไม่มีที่สำหรับเด็กอายุ 13 ในบัญชีศิลปินของค่าย มันทำให้ฉันร้องไห้ออกมาในรถระหว่างทางกลับบ้าน แต่หลังจากนั้น ฉันได้โพสต์เพลงลงบน MySpace ...ใช่แล้วค่ะ MySpace และส่งข้อความถึงเด็กวัยรุ่นคนอื่นที่รักเพลงคันทรีเหมือนกับฉัน แต่แค่ไม่มีใครขับร้องออกมาจากมุมมองของพวกเขาการมีนักข่าวเขียนข้อมูลเชิงลึก

บ่อยครั้งเป็นการวิจารณ์ ในบทความที่บรรยายเกี่ยวกับภาพที่พวกเขามองว่าฉันเป็น มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโลกจำลองที่พิศดารพันลึก แต่มันก็ทำให้ฉันได้มองลึกเข้าไปข้างในเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนจริง ๆ ของตัวเองการมีคนทั้งโลกปฏิบัติกับชีวิตรักของฉันเหมือนเป็นกีฬาที่น่าชมซึ่งฉันแพ้ทุกเกมที่ลงเล่น ไม่ใช่หนทางที่ดีที่จะออกเดตในช่วงวัยทีนส์ หรือยี่สิบกว่า ๆ

แต่มันก็สอนให้ฉันต้องออกมาปกป้องชีวิตส่วนตัวแบบเป็นฟืนเป็นไฟการถูกล้อเลียนในที่สาธารณะซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเป็นอะไรที่เจ็บปวดสุดแสนระทม แต่มันก็บังคับให้ฉันต้องไม่ให้ค่ากับทัศนคติอันน่าขบขันของความชื่นชอบและความสัมพันธ์กับสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาแบบนาทีต่อนาทีการถูกแบนบนอินเทอร์เน็ตและเกือบต้องปิดฉากอาชีพนักร้อง ทำให้ฉันได้ความรู้อันล้ำค่าเกี่ยวกับไวน์ทุกชนิด

ฉันรู้ว่ามันฟังดูเหมือนโลกสวยแต่ความจริงแล้วไม่ใช่

ฉันก็ลืมนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาอยู่บ่อย ๆ บางครั้งทุกอย่างก็รู้สึกเหมือนไร้สาระไปหมด ฉันรับรู้ถึงแรงกดดันในการใช้ชีวิตของคุณผ่านเลนส์ของลัทธิสมบูรณ์แบบนิยม (perfectionism) และฉันก็รู้ว่ากำลังพูดอยู่กับกลุ่มนักนิยมความสมบูรณ์แบบ เพราะพวกคุณมาอยู่ตรงนี้ในวันนี้ได้ด้วยการสำเร็จการศึกษาจาก NYUดังนั้นมันอาจยากที่จะฟังสิ่งนี้...ในชีวิตของคุณ คุณไม่อาจหลีกเลี่ยงการพูดผิด ไว้ใจคนผิด มีปฏิกิริยาที่น้อยหรือมากจนเกินไป ทำร้ายจิตใจคนที่ไม่สมควรถูกทำร้าย คิดมากเกินไปหรือไม่คิดอะไรเลย บั่นทอนตัวเอง (self sabotage) สถาปนาความจริงที่มาจากประสบการณ์ของคุณเองเพียงลำพัง ทำลายช่วงเวลาที่แสนวิเศษของตัวเองและผู้อื่น ปฏิเสธยอมรับผิด ไม่ยอมดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง รู้สึกสำนึกผิดมากและปล่อยให้ความรู้สึกนั้นกัดกินตัวคุณเอง ตกต่ำดำดิ่ง รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดที่คุณก่อได้ในที่สุด พยายามทำให้ดีขึ้นในครั้งหน้า ลบล้างเรื่องราวต่าง ๆ แล้วก็ทำมันซ้ำใหม่ฉันจะไม่โกหกว่า

ความผิดเหล่านี้จะทำให้คุณสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ฉันพยายามจะบอกว่า สิ่งที่กำลังสูญเสียไปไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียเท่านั้น หลายครั้งเมื่อเราสูญเสียบางสิ่ง เราได้รับบางสิ่งเข้ามาเช่นกันตอนนี้คุณกำลังออกจากโครงสร้างและกรอบการทำงานของมหา’ลัย และไปร่างเส้นทางเดินใหม่ของตนเอง ทุกทางที่คุณเลือกจะนำไปสู่ทางเลือกถัดไปและต่อ ๆ ไป ฉันทราบว่าบางครั้งมันไม่ง่ายที่จะเลือกว่าควรไปทางไหน มันจะมีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณต้องลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ช่วงเวลาที่สิ่งที่ถูกต้องคือการถอยออกมาและกล่าวคำว่าขอโทษ ช่วงเวลาที่สิ่งที่ถูกต้องคือการสู้ ช่วงเวลาที่สิ่งที่ถูกต้องคือการกลับหลังหันและวิ่ง ช่วงเวลาที่ต้องยึดมั่นกับทุกอย่างที่มีและช่วงเวลาที่ต้องปล่อยบางอย่างไปแบบสง่างามบางครั้งสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำคือการทิ้งความเชื่อเก่า ๆ เพื่อแลกกับความก้าวหน้าและการปฏิรูป บางครั้งสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำคือการรับฟังภูมิปัญญาคนรุ่นเก่าที่มาก่อนเรา แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเลือกไหนถูกในช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้?

คุณจะไม่มีทางทราบฉันจะให้คำแนะนำอย่างไรกับผู้คนมากมายเกี่ยวกับทางเลือกในชีวิตของพวกเขา? ฉันจะไม่ให้คำแนะนำใดข่าวที่น่ากลัวก็คือ ตอนนี้คุณต้องตัดสินใจเอง และข่าวที่เจ๋งก็คือ ตอนนี้คุณต้องตัดสินใจเองเหมือนกันฉันขอทิ้งท้ายด้วยสิ่งนี้ ชีวิตของเราล้วนนำทางด้วยการใช้สัญชาตญาณ การหยั่งรู้ด้วยตัวเอง ความปรารถนาและความกลัว แผลเป็นในอดีตและความฝัน บางครั้งคุณจะทำมันพังลงมา ฉันก็เช่นกัน เมื่อฉันพลาด คุณน่าจะหาอ่านเรื่องราวได้บนอินเทอร์เน็ตเราจะเผชิญกับสิ่งที่หนักหนาสาหัส เราจะฟื้นกลับมา เราจะได้เรียนรู้จากมัน เราจะเติบโตไปด้วยความสามารถในการคืนชีพได้ดีขึ้นเพราะสิ่งนั้น ตราบใดที่เรายังคงโชคดีพอที่จะมีลมหายใจ เราจะหายใจเข้า หายใจให้ทั่วท้อง สูดหายใจลึก ๆ หายใจออก ตอนนี้ฉันเป็นด็อกเตอร์แล้ว ฉันรู้ว่าการหายใจมันดียังไงฉันหวังว่าพวกคุณทราบกันดีว่าฉันรู้สึกภูมิใจเพียงใดที่ได้มาร่วมแบ่งปันวันเวลานี้กับพวกคุณ เรากำลังทำสิ่งนี้ไปด้วยกัน ดังนั้น จงเต้นรำกันต่อไปให้เหมือน...เราเป็นเด็กรุ่น ‘22’"

 

ภาพ: Getty Images

ที่มา: www.youtube.com/watch?v=_at_RdsZoc4
https://www.thepeople.co/thought/45505

 

Visitors: 1,405,518