ข่าวดี !! ไทยได้รับการยืนยันจากบริษัท Pfizer ว่าจะจัดส่งวัคซีนให้ไทย 10,000,000 โดส
ข่าวดี !! ไทยได้รับการยืนยันจากบริษัท Pfizer ว่าจะจัดส่งวัคซีนให้ไทย 10,000,000 โดส โดยจะทยอยส่งให้จนเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2564 นี้
จากสถานการณ์การระบาดโควิดระลอกที่สาม ที่มีทีท่าว่าจะขยายตัวกว้างขวางออกไป เนื่องจากเป็นไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษ ที่มีความสามารถในการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นถึง 70%
นอกจากมาตรการเชิงรับ ที่ได้ระดมสรรพกำลังในการเตรียมขยายเตียงในโรงพยาบาลหลัก ทยอยเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม ตลอดจน Hospitel ยาและอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่างๆแล้วนั้น
มาตรการเชิงรุกที่สำคัญยิ่ง และจำเป็นต้องทำคู่ขนานกันไปอย่างเร่งด่วนคือ การเร่งจัดหา และเร่งกระจายการฉีดวัคซีนออกไปให้ทั่วถึงและกว้างขวางที่สุด
เดิมไทยมีวัคซีนที่ตกลงกันแล้วอยู่ในมือ สองชนิดคือ
1) วัคซีนบริษัท Sinovac ของจีน ทยอยมาแล้วใน
กุมภาพันธ์ 200,000 โดส
มีนาคม 800,000 โดส
เมษายนนี้อีก 1,000,000 โดส
รวมเป็น 2,000,000 โดส
และกำลังติดต่อเพิ่มพิเศษได้อีก 500,000 โดส
2) วัคซีนของบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษ ซึ่งได้มีการเตรียมการผลิตโดยบริษัทสยามไบโอซายน์ตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว
ขณะนี้การปรับปรุงสายพานการผลิต ตลอดจนวัคซีนห้าล็อตแรกได้ทำการตรวจสอบเกือบเสร็จสิ้นแล้ว
พร้อมที่จะฉีดให้กับคนไทยได้ในเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะมีการส่งวัคซีนในเดือนแรก 6,000,000 โดสต่อไปเดือนละ 10,000,000 โดส สุดท้ายธันวาคมอีก 5,000,000 โดสรวมเป็นทั้งสิ้น 61,000,000 โดส
โดยทางรัฐบาลได้ติดต่อขอมาเป็นการพิเศษก่อนหน้านี้แล้ว 110,000 โดส
และเพิ่งมีข่าวดีเมื่อวานว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้แจ้งให้ทราบว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการให้กระทรวงประสานต่อเนื่องกันมานานนับเดือนนั้น
ทางประธานาธิบดีปูตินได้รับปากชัดเจนแล้วว่า จะจัดสรรวัคซีนให้กับไทยจำนวนหนึ่ง โดยทั้งหมดนี้จะดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
วันนี้ก็มีข่าวดีเพิ่มเติม จากแหล่งข่าวในกระทรวงสาธารณสุข แจ้งเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนของบริษัท Pfizer ว่า จากที่ได้มีการประสานโดยไม่ได้เป็นข่าวมาโดยตลอดนั้น
ขณะนี้ได้ข้อยุติเป็นที่น่าพอใจดังนี้
1) ไทยจะได้รับวัคซีนจากบริษัท Pfizer จำนวนทั้งสิ้น 10,000,000 โดส (ไม่เกี่ยวกับที่คณะกรรมการร่วมภาครัฐและโรงพยาบาลเอกชนที่กำลังจะดำเนินการ)
2) วัคซีนดังกล่าวนั้น จะทยอยจัดส่งให้ประเทศไทยในแต่ละเดือนไปจนครบ 10,000,000 โดสภายในสิ้นปีนี้
เหตุที่มีการตกลงกัน และรัฐบาลไทยสนใจอย่างจริงจังนั้น ก็เนื่องจากว่าคุณสมบัติของวัคซีน Pfizer มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สะดวกกับประเทศไทยมากขึ้น
คือเดิมวัคซีนต้องจัดเก็บที่ -70 องศาเซลเซียส ทำให้ตู้ที่เก็บนั้นมีราคาแพง หาได้ไม่ง่าย ไม่สะดวกกับการกระจายวัคซีนไปฉีดทั่วประเทศ
แต่ขณะนี้บริษัท Pfizer ได้พัฒนา จนกระทั่งวัคซีนสามารถเก็บที่ -20 องศาเซลเซียส ซึ่งประเทศไทยมีตู้เก็บ -20 องศาเซลเซียสอยู่มากพอสมควร
และที่สำคัญกว่านั้นคือ วัคซีนสามารถนำออกมาเก็บที่อุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานถึงสามเดือน
เมื่อคุณสมบัติของวัคซีนไฟเซอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ จึงทำให้ทางการไทยให้ความสนใจและเจรจาอย่างจริงจังเพิ่มขึ้น
ในที่สุดก็ถึงข้อยุติ ของการได้วัคซีนจำนวน 10,000,000 โดสดังกล่าว
ซึ่งจะทยอยส่งมาจนครบก่อนสิ้นปีนี้
ทำให้ในเบื้องต้นแล้ว เมื่อประมาณการถึงสิ้นปี 2564 ไทยจะมีวัคซีนอยู่ในมืออย่างน้อยสุด 73,000,000 โดส ทั้งนี้ยังไม่รวมวัคซีนของรัสเซีย
และถ้าในอีกแปดเดือนข้างหน้า มีวัคซีนจากบริษัทต่างๆเพิ่มเติม เช่น Johnson & Johnson Novavax Sinopharm
ก็จะทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนอยู่ในมือ ไม่ต่ำกว่า 100,000,000 โดส ซึ่งจะฉีดให้กับคนได้ 50,000,000 คน
ครอบคลุม 70% ของประชากรไทย จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้
นับเป็นข่าวดีมาก ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด ที่อยู่ในระลอกที่สามครับ
Reference
แหล่งข่าวระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข
ที่มา : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
|