ทำไมความเหนื่อยถึงทำให้เรา ‘ตาโหล’ ดำคล้ำ?
. อาการใต้ตาดำปี๋เป็นผลข้างเคียงที่คุ้นเคยของเหล่าคนไม่ได้นอน ตาโหลๆ ที่เหมือนมีถุงคล้ำด้านใต้นั้นดูคล้ายกับร่างกายกำลังตะโกนให้คนรอบตัวรู้ว่าคุณกำลังเหนื่อย! . แต่ทำไมความเหนื่อยอ่อนถึงส่งผลค้างเคียงต่อใต้ตาเราขนาดนี้? . อันที่จริงการมีขอบตาคล้ำเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ยีน หรือพฤติกรรม เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตาของเราเป็น ‘จุดบอบบางที่สุด’ บนใบหน้า ทำให้เป็นส่วนที่ง่ายที่สุดที่จะเกิดความหย่อนยาน เกิดริ้วรอย รวมถึงเส้นเลือด . แต่ปัจจัยที่ทำให้ ‘ความเหนื่อย’ ส่งผลต่อใต้ตา คือฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งส่งมาจากต่อมไร้ท่อเหนือไตของเรา ความสำคัญของคอร์ติซอลคือความพยายามทำให้ร่างกายของเราตื่นตัว ดังนั้นเมื่อเราเหนื่อยหรือพักผ่อนไม่พอ ร่างกายจะพยายามปล่อยคอร์ติซอลออกมากระตุ้น แต่ระดับคอร์ติซอลจะส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าและน้ำหนักตัว และที่สำคัญระดับคอร์ติซอลที่สูงขึ้นส่งผลต่อความดันในเส้นเลือดด้วย . การสูบฉีดโปรตีนและพลาสม่าเพิ่มเติมด้วยวิธีการออสโมซิส (osmosis) ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นทำให้เส้นเลือดของเราหดรวมตัวกัน และในบริเวณที่ผิวบอบบางอย่างใต้ตามันก็เลย ‘เห็นได้ชัด’ ว่าตาโหลตาดำนั่นเอง . นอกจากคอร์ติซอล พฤติกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลกับแรงดันเลือดก็ทำให้ใต้ตาคล้ำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์ ความเค็ม หรือบุหรี่ ก็ส่งผลให้ระดับคอร์ติซอลสูงขึ้นเช่นเดียวกัน . อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ทำให้ใต้ตาเราดำยังเกี่ยวข้องกับยีนด้วย เพราะหลายคนก็ใต้ตาดำคล้ำตลอดเวลาโดยที่ยังไม่ทันจะเหนื่อย โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นกับคนที่มีผิวสีอ่อนหรือผิวบางจนทำให้เห็นเส้นเลือดได้ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ทางพันธุกรรมและมักทำให้คนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ได้นอนหรือเหนื่อยทั้งๆ ที่ตื่นเต็มตา ขณะเดียวกันอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้ผิวหนังบางลงและมีแนวโน้มทำให้ใต้ตาคล้ำได้ง่ายขึ้นด้วย . อ้างอิง: Iflscience. Why Do We Get Bags Under Our Eyes When We're Tired? . https://bit.ly/3jR1Sut Metro. Why do you get dark circles under your eyes when you’re tired? . https://bit.ly/3rCtaJ2 Livescience. Why Do People Get 'Bags' Under Their Eyes? . https://bit.ly/3vvKwIR . #ขอบตาดำ #ตาคล้ำ #ความเหนื่อย #ใต้ตา #BrandThink #พื้นที่สร้างสรรค์เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า #CreateaBetterTomorrow
ขอบคุณที่มา : BrandThink.me
|