องค์กรคุณพร้อมหรือยัง ? นับถอยหลังวันเริ่มใช้ PDPA พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล
องค์กรคุณพร้อมหรือยัง ? นับถอยหลังวันเริ่มใช้ PDPA พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคลพรบ.นี้มีผลกับทุกองค์กรทั่วโลกที่เก็บข้อมูลของคนไทย จึงไม่มีองค์กรไหนสามารถทำเพิกเฉยกับมันได้ กับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือที่เรียกกันว่า PDPA ( Personal Data Protection Act ) ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบวันที่ 27 พ.ค.2563 นี้แล้ว คือ อีก 3 เดือนเท่านั้น เริ่มตอนนี้ก็ยังทันนะคะ โดยบทความนี้จะช่วยให้เข้าใจผลของการมีพรบ.นี้มากขึ้น และ Roadmap การเตรียมพร้อมขององค์กรท่านมาไว้ให้ด้วย หากท่านยังไม่แน่ใจว่าการมีกฎหมายนี้อาจสร้างความเสี่ยงให้บริษัทได้มากแค่ไหน ลองดูกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่มีการใช้กฎหมายนี้มาก่อนเราที่มีการปรับมาแล้วหลากหลายรูปแบบ Facebook ทำรายได้ มากถึง 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2018 แต่โดนปรับจาก FTC กรณีละเมิดสิทธิ์ไปประมาณ 5 พันกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด จากกรณีแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคนให้บริษัท Cambridge Analytica วิเคราะห์ความคิดเห็นของประชาชนด้านการเมือง โดยที่ไม่ได้ขอความยินยอมจากผู้ใช้งาน ว่ากันว่าคดีนี้เป็นคดีละเมิดสิทธิ์ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีค่าปรับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว Google ทำรายได้ 1แสนสามหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2018 แต่ก็โดนปรับไปประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 1.5% ของรายได้ โดย Google มีโดนหลายเคสมาก แต่ที่โด่งดังคือการประมวลผลข้อมูลของผู้เยาว์เพื่อทำการขายโฆษณาแบบเจาะจง ( Re-targeting Ad ) โดยไม่ได้ขอคำยินยอมจากผู้ปกครอง และอีกเคสที่ดังมาก เพราะยอดค่าปรับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ GDPR เลย คือ กรณีทำ Consent แบบแอบซ่อน ไม่ชัดเจนตอนที่รับสมัครสมาชิก Google account ต้องให้ผู้ใช้งานกดหลายขั้นตอน และมีการนำข้อมูลไปทำ Personalized Advertisement British Airways ทำรายได้ 1 หมื่นสามพันล้านปอนด์ ในปี 2018 แต่ก็โดนปรับจากไป 204 ล้านปอนด์ หรือ คิดเป็นประมาณ 1% ของรายได้จากกรณีถูกเจาะระบบข้อมูลทำให้ข้อมูลลูกค้ากว่า 500,000 คนถูกขโมยไปจากการแฮกเวบไซต์ คล้ายๆ Phishing ข้อมูลที่ถูกขโมยได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ อีเมล และข้อมูลการชำระเงิน คดีนี้เป็นคดีละเมิดสิทธิ์ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีค่าปรับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ICO เลยทีเดียว Marriott International เครือโรงแรม W, Westin, Le Meridien และ Sheraton ถูกปรับจาก GDPR 99.2 ล้านปอนด์ เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงรายละเอียดบัตรเครดิต หมายเลขพาสปอร์ต และวันเดือนปีเกิดของลูกค้ากว่า 339 ล้านคนถูกแฮ๊คไป ส่วนประเทศในเอเชียอย่างสิงคโปร์ที่ถึงแม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว ก็มีการเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ระบบ IT ของ SingHealth ถูกแฮ็ค ส่งผลให้ข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและคลีนิคในเครือ 1,500,000 คนถูกขโมยออกไป ข้อมูลได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ เพศ สัญชาติ วันเกิด และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน นอกจากนี้ ข้อมูลการจ่ายยาผู้ป่วยนอกอีกประมาณ 160,000 รายก็ได้ถูกขโมยออกไปด้วย หนึ่งในนั้นคือข้อมูลของ Lee Hsien Loong นายกรัฐมันตรีคนปัจจุบันของสิงคโปร์ ค่าปรับจากคดีนี้สูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ทำให้ในปี 2019 มียอดการปรับรวมสูงถึง 1.54 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สูงสุดในประวัติกาลของสิงคโปร์และก็สูงกว่า 3 ปีก่อน (2016-2018) รวมกันถึงเกือบ 5 เท่า โดยในกว่า 100 องค์กรที่โดนปรับมาจากทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะค้าปลีก, การเงิน, วิชาชีพเฉพาะทาง เช่น แพทย์ ส่วนใหญ่มาจากการมีระบบปกป้องข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน และ ที่น่าแปลกใจคือ องค์กรการกุศลมีถึง 10 แห่งที่มีความผิดและโดนปรับรวมกันมากถึง บทลงโทษของต่างประเทศ
บทลงโทษจาก PDPA ของไทยถือว่ารุนแรงกว่า GDPR ของยุโรป คือ มีโทษจำคุกด้วยซึ่งกรรมการบริษัทคือผู้รับโทษนี้ ขณะที่ GDPR มีเฉพาะโทษทางเแพ่งอย่างเดียว
GDPR ใช้เวลาเพียง 2 ปีก็สามารถแผลงฤทธิ์ใส่องค์กรใหญ่ๆไปได้หนักหน่วงทีเดียว และ PDPA ในประเทศที่มีใช้มานานแล้วก็มีการตื่นตัวเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของเทรนด์การเก็บข้อมูลของผู้บริโภคเพื่อนำมาวิเคราะห์ เห็นความเสี่ยงใกล้ๆตัวหรือยังคะ ? หากเราดูจากเคสตัวอย่าง เทียบค่าปรับจากเปอร์เซ็นต์ของยอดขายอาจดูไม่เยอะ เพียงแค่ 1-10% ถ้าเทียบจากรายได้มหาศาลของบริษัทเหล่านั้น กลับกันหากเป็นบริษัทเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 50 ล้านบาท แล้วโดนปรับ 5 ล้านบาท อาจเป็น 10% ที่แสนสาหัสมากเลยทีเดียว สำหรับในบ้านเรานี้ คงไม่มีใครอยากเจิม PDPA เป็นคดีแรกหรอกใช่มั้ยคะ จะเริ่มอย่างไรดี เรามี 5 Step roadmap มาให้ค่ะ
1 ) องค์กรคุณถูกบังคับใช้พรบ.นี้ด้วยหรือไม่ ? ถ้าเข้าข่าย 3 แบบข้างล่าง ถือว่าใช่ค่ะ
2 ) แล้วมีเก็บข้อมูลใดของผู้บริโภคอยู่บ้างที่เข้าข่าย ? ความหมายของข้อมูลส่วนบุคคลตามพรบ.นี้ คือ ข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ที่ถูกเก็บทั้งแบบ Online และ Offline ซึ่งหมายความกว้างมาก คีย์อยู่ที่การทำให้การระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อ นามสกุล
ใจความของตัวพรบ. คือการให้สิทธิเหล่านี้แก่ของเจ้าของข้อมูล
โดยพรบ.กำหนดระยะในการทำตามคำร้องขอให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน 3 ) ซึ่งหมายถึงการที่องค์กรจะมีหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนี้ 1. การเก็บข้อมูล ต้องเก็บข้อมูลจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น ห้ามเก็บจากแหล่งอื่น ต้องแจ้งสิทธิ รายละเอียด และวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล ให้เจ้าของข้อมูลรับทราบเสมอ และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสมอ เก็บเท่าที่จำเป็น ชอบด้วยกฎหมาย และต้องลบเมื่อพ้นระยยะเวลาที่จำเป็นหรือที่ได้แจ้งไว้ การขอความยินยอม (Consent) นั้น จะต้องให้เจ้าของข้อมูลสามารถ
การถอนความยินยอม (Consent) นั้น จะต้องให้เจ้าของข้อมูลสามารถ
2. การใช้และเปิดเผยข้อมูล ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสมอ และจะต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เท่านั้น 3. การเข้าถึงและแก้ไข ต้องมีช่องทางให้เจ้าของข้อมูลสามารถเข้าถึงข้อมูลของตัวเอง และแก้ไขได้ เช่น เวบ CRM หรือ Call Center 4. การโอนข้อมูลไปต่างประเทศ ปลายทางจะต้องมีมาตรฐานการคุ้มครองที่เพียงพอ ( เช่น การนำข้อมูลขึ้น Cloud หรือ Server อยู่ที่ต่างประเทศ ) 5. มีมาตรการการรักษาความปลอดภัย ต้องจัดให้มีระบบป้องกันข้อมูลที่ได้มาตรฐาน และหากพบว่ามีการรั่วของข้อมูล จะต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลภายใน 72 ชม.จากที่ทราบเหตุ มีข้อยกเว้นที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ทำให้การเก็บข้อมูลไม่ต้องได้รับความยินยอม
ถ้าองค์กรเราไม่มีเข้าข้อยกเว้นเลย ก็เริ่มงานได้แล้วค่ะ 4) เริ่มจากส่วนกลางก่อนเลยค่ะ กำหนดบทบาท
5) และขอบอกเลยว่า เกี่ยวทุกแผนกนะคะ แยกงานเป็นแต่ละแผนกมาให้คร่าวๆแล้ว ใครเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย ต้อง assess และ prioritize กันให้ดีค่ะ
ตัวกฎหมายเองยังลงรายละเอียดไม่สุด และจะต้องมีกฎหมายลูกที่ระบุแน่ชัดออกมารองรับ เคลียร์ความเทาในหลายๆกรณี แต่ไม่เป็นการเสียหายหากองค์กรจะเริ่มทำแบบ Best Practice ไว้ก่อน เพราะกฎมีแต่แนวโน้มว่าจะเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าอ่อนลงค่ะ
ที่มา : https://techsauce.co/tech-and-biz/pdpa-big-data-private-law
|