ลดได้ลดนะ! 7 อาหารกระตุ้น 'ไขมันพอกตับ' ภัยเงียบทำร้ายสุขภาพตับ

ลดได้ลดนะ! 7 อาหารกระตุ้น 'ไขมันพอกตับ' ภัยเงียบทำร้ายสุขภาพตับ 

 

ภาวะ “ไขมันพอกตับ” กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์

ตับมีหน้าที่สำคัญในการจัดการไขมันและน้ำตาล แต่เมื่อได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่กระตุ้นให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ตับจะเริ่มทำงานหนักเกินไปและนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและบรรเทาภาวะนี้

นี่คือ 7 กลุ่มอาหารที่คุณควร “ลด” หรือ “เลี่ยง” เพื่อสุขภาพตับที่ดี

 
1. เครื่องดื่มและอาหารที่มีน้ำตาลสูง

น้ำตาล โดยเฉพาะ น้ำตาลฟรุกโตส เป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นการสร้างไขมันในตับโดยตรง เพราะตับเป็นอวัยวะเดียวที่สามารถแปรรูปฟรุกโตสได้ เมื่อรับประทานมากเกินไป ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้เป็นไขมันสะสม

สิ่งที่ควรระวัง: น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง (แม้จะเป็นน้ำผลไม้ 100% แต่ก็มีฟรุกโตสสูงและขาดใยอาหาร), เครื่องดื่มชูกำลัง, ชานมไข่มุก, ขนมหวาน, ลูกอม, เค้ก, คุกกี้ และซีเรียลที่มีน้ำตาลสูง

 

2. คาร์โบไฮเดรตขัดสี

คาร์โบไฮเดรตขัดสี หรือ แป้งขาว เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว พาสต้าขาว และอาหารที่ทำจากแป้งอเนกประสงค์ มีใยอาหารต่ำ ทำให้ร่างกายย่อยและดูดซึมได้รวดเร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตับจึงต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเหล่านี้ให้เป็นไขมัน

ทางเลือกที่ดีกว่า: เลือกรับประทาน ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท ที่มีใยอาหารสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล

3. อาหารทอดและอาหารมันเยิ้ม

อาหารที่ผ่านการทอดด้วยน้ำมันท่วม หรือมี “ไขมันอิ่มตัว” และ “ไขมันทรานส์” สูง เช่น เฟรนช์ฟราย ไก่ทอด โดนัท และอาหารฟาสต์ฟู้ด เป็นแหล่งของแคลอรี่ที่สูงมาก การบริโภคไขมันเหล่านี้มากเกินไปจะเพิ่มภาระให้ตับในการจัดการไขมัน และยังสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของการสะสมไขมันในตับและการอักเสบ

สิ่งที่ควรทำ: ลดการบริโภคอาหารทอด เปลี่ยนเป็นวิธีการปรุงอาหารที่ใช้ไขมันน้อยลง เช่น อบ นึ่ง ย่าง หรือผัดด้วยน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพอย่าง น้ำมันมะกอก

 

4. เนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูป


เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ มีปริมาณ ไขมันอิ่มตัว สูง การบริโภคมากเกินไปสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะไขมันพอกตับ เช่นเดียวกับ เนื้อสัตว์แปรรูป อย่างเบคอน ไส้กรอก และแฮม ที่มักมีไขมันอิ่มตัวสูงและมีสารกันเสียหรือโซเดียมในปริมาณมาก ซึ่งเป็นภาระต่อตับ

สิ่งที่ควรทำ: เลือกโปรตีนไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา สัตว์ปีก (ไม่ติดหนัง) และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่าง ๆ

5. แอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์ ถือเป็นสารพิษร้ายแรงต่อตับโดยตรง การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือเป็นประจำจะทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ และอาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบและตับแข็งได้

คำแนะนำ: ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับควร งด หรือ จำกัด การดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด

6. อาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูปขั้นสูง

อาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-Processed Foods) เช่น ขนมขบเคี้ยวบรรจุถุง อาหารพร้อมรับประทานแช่แข็ง และอาหารกระป๋องบางชนิด มักประกอบด้วย ไขมันที่ไม่ดี (ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์) น้ำตาล และ โซเดียม ในปริมาณสูง นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยสารปรุงแต่ง สารกันเสีย และสารเคมีต่าง ๆ ที่ตับต้องใช้พลังงานในการกำจัดออกไป การบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ

 

7. อาหารที่มีโซเดียมสูง (เกลือ)

 
การบริโภค โซเดียม (เกลือ) มากเกินไปไม่ได้ทำร้ายตับโดยตรง แต่สัมพันธ์กับภาวะ ความดันโลหิตสูง และการสะสมของน้ำในร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) ที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับภาวะไขมันพอกตับ

สิ่งที่ควรระวัง: อาหารแปรรูป, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ซอสปรุงรสต่าง ๆ ในปริมาณมาก, อาหารกระป๋องที่มีโซเดียมสูง

คำแนะนำ: จำกัดปริมาณโซเดียม และปรุงอาหารเองเพื่อควบคุมปริมาณเกลือ

 


ภาวะไขมันพอกตับส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม การลดหรือเลี่ยงอาหารทั้ง 7 กลุ่มนี้จะช่วยลดภาระของตับและป้องกันการสะสมไขมันใหม่ๆ ได้

นอกจากนี้ การบำรุงตับที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนพฤติกรรม โดยสามารถได้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่

ควบคุมน้ำหนักตัว: หากมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย (5-10% ของน้ำหนักตัว) สามารถช่วยลดปริมาณไขมันในตับได้อย่างมีนัยสำคัญ

เลือกอาหารที่ดี: เน้นอาหารแบบ เมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Diet) ที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด และไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดไขมันในช่องท้องและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตับโดยตรง

ทั้งนี้ หากคุณมีภาวะไขมันพอกตับอยู่แล้ว ควรปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการเพื่อรับคำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณโดยเฉพาะ

 

 

ที่มา : https://mgronline.com/goodhealth/detail/9680000094597

 

 

 

Visitors: 1,656,115