วัคซีน กายพร้อม ใจไม่พร้อม เครียด กังวล อาจส่งผลข้างเคียง

"วัคซีน"กายพร้อม ใจไม่พร้อม เครียด กังวล อาจส่งผลข้างเคียง
 
อย่างที่รู้กันดีว่า อาวุธหนึ่งในการต่อสู้กับโควิด-19 คือ "วัคซีน" ซึ่ง ณ เวลานี้ในประเทศไทย คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติวัคซีนโควิดที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว 3 รายการ คือ
 
วัคซีน AZD1222 ของแอสตราเซเนกา นำเข้าโดย บริษัท แอสตราเซเนกา (ประเทศไทย) จำกัด
 
วัคซีนโคโรนาแวคของซิโนแวค นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.)
 
และวัคซีน JNJ-78436735 ของจอห์นสันแอนด์จอนห์สัน นำเข้าโดย บริษัท แจนเซ่น-ซีแลก จำกัด แต่ที่นำมาฉีดให้ประชาชนแล้ว 2 ยี่ห้อ คือ ของซิโนแวคและแอสตราเซเนกา
 
 
แต่เพราะกระแสข่าวเกี่ยวกับผลข้างเคียงและความปลอดภัยของวัคซีนที่ออกมาเป็นระยะ ทำให้หลายต่อหลายคนกังวลว่า ฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนโควิด แบบไหนมีความปลอดภัยกว่ากัน
 
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยถึงประโยชน์ของวัคซีนโควิด-19 ว่า โควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อ โรคติดต่อ และเป็นโรคระบาด คนติดเชื้อทั่วโลกเป็นหลักร้อยล้านคน และเสียชีวิตเป็นหลักล้านคน
 
ในประเทศไทยเองก็มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่าแสนคน ซึ่งแน่นอนว่าการที่เราจะหยุดยั้งการระบาดของโรคนี้ได้ “วัคซีน” คือเครื่องมือที่สำคัญตัวหนึ่ง เพราะเราไม่อยากจะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น เช่น การใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างกันไปตลอด และทุกคนก็คงไม่อยากที่จะทำอะไรไม่ได้เลย เช่น ดูคอนเสิร์ต ประชุม และร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ฉะนั้นหากเราอยากมีกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น เปิดประเทศได้ ทำให้เศรษฐกิจมันดีขึ้น "วัคซีน" คือคำตอบ
 
 
และจากสารของ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า วัคซีนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนคือ วัคซีนที่เราได้รับเร็วที่สุด และไม่แนะนำให้รอ หรือเลือกวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่ง
 
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การรับวัคซีน ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ แม้จะอยากให้ทุกคนฉีดก็ตาม และไม่อยากให้คิดว่าจะ "ไม่ฉีด" เนื่องจาก วัคซีน มีประโยชน์มากกว่า ทั้งส่วนตัว และส่วนรวม
 
วัคซีนต่างชนิด ป้องโควิด-19 ได้เหมือนกัน
 
วัคซีนที่มีการฉีดให้ประชาชน บุคลากรการแพทย์ อสม. เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และประชาชนกลุ่มเสี่ยงนั้น มีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
 
ชนิดแรก เป็น วัคซีนชนิดเชื้อตายของซิโนแวค ลักษณะเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เรารู้จักกันมานานแล้ว โดยเป็นการนำเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19 นำมาทำให้ตาย แต่ยังมีความสามารถที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ฉีดเข้าไปในร่างกาย และเมื่อร่างกายเห็นเป็นสิ่งแปลกปลอม ก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ฉะนั้น เวลาที่มีการติดเชื้อจริง ร่างกายจะพร้อม และสู้กับเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโควิด-19 ได้ทันท่วงที
 
ชนิดที่สอง คือ วัคซีนชนิดไวรัสเว็กเตอร์ หรือวัคซีนชนิดไวรัสเป็นพาหะ ของแอสตราเซเนกา การทำงานของไวรัสเว็กเตอร์ คือ การนำสารพันธุกรรมหรือชิ้นส่วนพันธุกรรมของไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19 มาห่อหุ้มด้วยไวรัสอีกตัวหนึ่ง ที่ชื่อว่า อะดิโนไวรัส ที่ก่อให้เกิดโรคในลิง เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย จะถอดรหัสออกมาเป็นโปรตีนส่วนหนาม และเมื่อร่างกายเห็นเป็นสิ่งแปลกปลอม ก็จะกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
 
ส่วนอีก 2 ชนิดที่อนาคตอาจจะเข้ามาในประเทศไทยในอนาคต คือ ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) ของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา เป็นวัคซีนที่ออกมาแรกๆ การทำงานของวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอจะคล้ายกับไวรัสเว็กเตอร์ คือ จะนำสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19
 
แต่แทนที่จะหุ้มด้วยอะดิโนไวรัสก็ใช้ไขมันห่อหุ้มแทน เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จะถอดรหัสออกมาเป็นโปรตีนส่วนหนาม เพื่อกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
 
สุดท้าย เป็นวัคซีนที่ใช้โปรตีนบางส่วนของไวรัส เช่น ของบริษัท โนวาแวกซ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่วัคซีนนี้อนาคตอาจจะเข้ามาในประเทศไทย
 
 
ขณะที่ หากมีการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ อาทิ สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์บราซิล สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ประสิทธิภาพของวัคซีนต่างๆ จะสามารถป้องกันได้หรือไม่ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ ระบุว่า
 
ถ้าเป็นของซิโนแวค เรายังไม่มีข้อมูลที่เป็นการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ แต่ถ้าเป็นของแอสตราเซเนกา พบว่ายังสามารถยับยั้งความรุนแรงของสายพันธุ์อังกฤษได้ แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์แอฟริกา ประสิทธิภาพอาจจะลดลงไปค่อนข้างมาก
 
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ของไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา จะมีข้อมูลค่อนข้างมากกว่า ในเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีต่อสายพันธุ์กลายพันธุ์ ซึ่งระบุว่า ประสิทธิภาพอาจจะลดลง แต่ยังเพียงพอในการสร้างภูมิคุ้มกันได้
 
ผู้ป่วยโควิด-19 รับวัคซีนได้หรือไม่
 
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ บอกว่า แนะนำให้ฉีด แต่ไม่ต้องรีบ พร้อมอธิบายว่า อย่างที่ทราบว่า วัคซีนสามารถลดความรุนแรงของโรค ไปจนถึงป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากโรคโควิด
 
ผู้ที่ติดเชื้อแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองมาในระดับหนึ่ง แต่ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการเป็นโควิด-19 อาจจะอยู่กับเราไม่นาน ประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับอาการ หากอาการน้อย ภูมิจะขึ้นไม่สูงและอยู่ไม่นาน แต่ถ้าป่วยแบบรุนแรง หรือมีเชื้อลงปอด ภูมิจะขึ้นสูง และจะอยู่นาน
 
ดังนั้น จากข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ ทั้งจากประเทศไทยเอง หรือในต่างประเทศ ทุกคนที่เป็นโควิด-19 แล้ว แพทย์ยังแนะนำให้ฉีดวัคซีน แต่ไม่ต้องรีบ เพราะเรายังมีภูมิคุ้มกันอยู่ในช่วงแรก ผู้เชี่ยวชาญ หรือในบางประเทศแนะนำว่าให้รออย่างน้อย 3 หรือ 6 เดือน แต่ถ้าวัคซีนมีเพียงพอก็อาจจะสามารถให้ได้เร็วได้
 
 
เครียด กังวล อาจเปลี่ยนเป็นผลข้างเคียง
 
จากกระแสข่าวมีการฉีดวัคซีนโควิดบางลอตให้บุคลากรทางการแพทย์แล้วเกิดผลข้างเคียง ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ อธิบายว่า วัคซีนที่เข้ามาในประเทศไทย โดยรัฐบาล จะมีหน่วยงานที่ตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ในการตรวจสอบคุณภาพของวัคซีน ก่อนที่จะกระจายวัคซีนออกไป เพราะฉะนั้นโดยหลักการแล้ว
 
วัคซีนมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่หากนำไปใช้งานแล้วสงสัยว่า คุณภาพของวัคซีนทำให้เกิดผลข้างเคียง สามารถส่งกลับมาตรวจสอบโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่า ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน ก็จะไม่พิจารณาให้หยุด หรือเรียกเก็บวัคซีนลอตนั้นกลับคืนมา
 
พร้อมทั้งแนะนำการเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนว่า ก่อนที่จะเข้ารับวัคซีน ต้องเตรียม 2 อย่าง คือ เตรียมตัวและเตรียมใจ ในคนที่มีโรคประจำตัว ต้องรู้ว่าโรคที่เราเป็นอยู่มีการรักษาอย่างต่อเนื่องหรือไม่ มีอาการคงที่ ไม่มีการปรับยาไปมา ถ้าการรักษาคงที่ก็สามารถรับวัคซีนได้ แต่ในผู้ป่วยที่แพทย์ยังคงปรับยาให้ตลอดเวลา อาจจะต้องปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ว่าสามารถรับวัคซีนได้หรือไม่
 
 
ขณะที่ วัยหนุ่มสาวที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคร่วม ต้องดูว่าไม่มีภาวะการเจ็บป่วยเฉียบพลัน เช่น อยู่ดีๆ มีไข้ เป็นหวัด ลักษณะนี้อยากให้เลื่อนไปก่อน รอให้หายดีแล้วจึงเข้ารับวัคซีน
 
ส่วนคนที่แพ้ยา หรือแพ้อาหาร อาทิ ปู กุ้ง จริงๆ ไม่ได้สัมพันธ์กับการแพ้วัคซีนโควิด-19 สามารถรับวัคซีนได้ แต่อาจต้องแจ้งกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดวัคซีนให้ว่ามีประวัติแพ้อื่นๆ มาก่อน เพื่อจะได้เฝ้าสังเกตอาการเป็นพิเศษในช่วง 30 นาทีแรก
 
 
ในเรื่องการเตรียมจิตใจ จากข่าวจะทราบว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากวัคซีน ส่วนหนึ่งมากจากความกังวลในการเข้ารับวัคซีน ซึ่งจะมีอาการ ชา อ่อนแรง อาการคล้ายหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากความวิตกกังวล หรือความกลัวที่จะเข้ารับวัคซีน ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับวัคซีนจะต้องเตรียมกาย เตรียมใจให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ไม่กังวล
 
อีกอย่างที่จะแนะนำคือ การศึกษาขั้นตอนการลงทะเบียน "หมอพร้อม" เพื่อให้ทราบเวลานัดหมายการรับวัคซีนที่แน่ชัด เนื่องจากไม่อยากให้ไปอยู่ ณ จุดนั้นนานๆ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ขณะที่เมื่อไปถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะมีการวัดสัญญาณชีพ การซักประวัติอีกครั้งหนึ่ง
 
 
สังเกตผลข้างเคียง อาการรุนแรง จะปรากฏใน 30 นาที
การสังเกตตัวเองหลังจากได้รับวัคซีนนั้น แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ
 
- ช่วง 30 นาทีแรก เป็นช่วงที่หากเกิดผลข้างเคียงมีอาการที่รุนแรง หรือแพ้รุนแรง จะเกิดภายใน 30 นาทีแรก ซึ่งอยากให้ผู้ได้รับวัคซีนสังเกตอาการในโรงพยาบาลหรือในสถานที่ที่รับวัคซีน เพราะหากเกิดแล้วก็จะได้ช่วยเหลือได้ทัน ซึ่งผู้ได้รับวัคซีนเองก็ต้องผ่อนคลาย และไม่เครียดระหว่างช่วงเวลานั้น
 
อาการแพ้รุนแรง จะมีเกณฑ์อยู่ด้วยกัน 4 ข้อ
 
  • อาการทางผิวหนัง เยื่อบุต่างๆ เช่น ผื่นขึ้นรุนแรงแบบลมพิษ ตาบวม ปากบวม
  • อาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจแล้วมีเสียงคล้ายหลอดลมตีบ
  • อาการของระบบไหลเวียน เช่น ความดันตก เป็นลม
  • อาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย
 
ทั้งนี้ หากมีอาการเกิดขึ้น 2 ใน 4 ข้อ อาจวินิจฉัยก่อนว่าอาจเกิดอาการแพ้แบบรุนแรง ทางเจ้าหน้าที่จะได้ให้การรักษา และจะมีการรายงานผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นไปที่ระบบหมอพร้อม หรือระบบอื่นๆ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาอีกทีว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่รับวัคซีนแล้วมีอาการ เกิดจากภาวะแพ้แบบรุนแรงหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อวัคซีนเข็มที่ 2 ที่อาจจะมีการพิจารณาไม่ให้ฉีดวัคซีนยี่ห้อเดิม
 
ส่วนที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนแล้วมีอาการคล้ายหลอดเลือดสมอง ตรงนี้ไม่ใช่อาการแพ้วัคซีน แต่อาการที่เกิดขึ้นเป็นภาวะ ISRR หรือ ปฏิกิริยาที่สัมพันธ์กับความเครียดจากการฉีดวัคซีน ซึ่งไม่ได้เพิ่งนิยามในประเทศไทย
 
แต่มีการนิยามขององค์การอนามัยโลก (WHO) มาตั้งแต่ 2 ปี ก่อนแล้ว ซึ่งเจอทั่วโลก และก็ไม่ได้เพิ่งเจอจากการฉีดวัคซีนโควิด โดยเราเคยเจอปรากฏการณ์แบบนี้ในการฉีดวัคซีนปากมดลูกในเด็กชั้นประถมศึกษา เมื่อฉีดไปแล้วเด็กเป็นลมหลายคน ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้เกิดจากการแพ้วัคซีน
 
 
สำหรับภาวะ ISRR มีปัจจัยกระตุ้นในเรื่องของความกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการเจ็บป่วยจากร่างกาย ซึ่งทำให้แสดงอาการออกมาคล้ายอาการหลอดเลือดสมอง เป็นอาการที่เกิดขึ้นจริง ตรวจได้จริง เช่น ชา ปากเบี้ยว ตามัว เกร็ง แต่ไม่ได้มีความผิดปกติจริงในการทำงานของสมอง เวลาตรวจเอกซเรย์สมองคอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กจะพบว่าปกติ
 
แพทย์จะรักษาตามอาการ และอาการจะดีขึ้นได้เองใน 1-3 วัน แต่หากมีการประเมินจากแพทย์แล้วพบว่าเป็นอาการที่เกิดจากหลอดเลือดสมอง แพทย์ก็จะต้องทำการรักษาต่อไป
 
ที่ผ่านมามีการพบภาวะ ISRR ในบุคลากรทางการแพทย์ เจอเป็นกลุ่มก้อน เจอในคนอายุน้อย และมักเกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่มีการรายงานเข้ามา พบผู้ที่มีภาวะ ISRR แล้วกว่าร้อยราย
 
 
- หลังจาก 30 นาทีไปแล้ว หากเกิดอาการข้างเคียงใดๆ ก็ตาม อยากให้รายงาน ตัวอย่างเช่น หากพ้น 30 นาทีไปแล้ว บังเอิญว่าระหว่างเดินทางกลับบ้าน เกิดเดินตกท่อ ถามว่าตกท่อเกี่ยวหรือไม่ คงไม่เกี่ยว แต่ถ้าซักไปเรื่อยๆ อาจพบว่ามีอาการเวียนหัวทำให้เดินตกท่อ เพราะฉะนั้นเราต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อมาประเมินว่าอาการที่เกิดขึ้น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากการได้รับวัคซีนหรือไม่ ซึ่งเราจะเรียกรวมว่า อาการไม่พึงประสงค์ เพื่อทำการตรวจสอบต่อไป
 
ขณะที่อาการข้างเคียงหลังจากที่ได้รับวัคซีน จะแบ่งออกเป็น 2 อาการย่อยๆ คือ
 
• อาการข้างเคียงที่เกิดเฉพาะที่ บริเวณที่มีการฉีดวัคซีน (ต้นแขน) ไม่ว่าจะเป็น ปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งจะเจอมากถึงร้อยละ 20-30 และสามารถพบได้ในทุกวัคซีน
 
• อาการตามระบบ เช่น มีไข้ต่ำ ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส เพลีย ปวดเมื่อยตามตัว
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ถือว่าผิดแปลกอะไร สามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน และรักษาตามอาการ เช่น ปวดแขน หรือมีไข้ สามารถกินยาพาราเซตามอลได้ และสามารถรับวัคซีนเข็มที่สอง ซึ่งเป็นยี่ห้อเดิมได้
 
 
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ถือว่าผิดแปลกอะไร สามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน และรักษาตามอาการ เช่น ปวดแขน หรือมีไข้ สามารถกินยาพาราเซตามอลได้ และสามารถรับวัคซีนเข็มที่สอง ซึ่งเป็นยี่ห้อเดิมได้
 
ขณะที่หากมีการเปลี่ยนยี่ห้อวัคซีนในเข็มที่สอง จะทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายเราลดลงหรือไม่นั้น แม้จะอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เชื่อว่าสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ ซึ่งวัคซีนที่เรามี 2 ยี่ห้อตอนนี้ในประเทศไทย ไม่มีส่วนประกอบไหนที่เหมือนกันเลย ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดการแพ้ซ้ำแบบรุนแรง
 
และในกรณีที่มีการเปลี่ยนวัคซีน การรับวัคซีนครั้งต่อไป ก็ให้ยึดระยะเวลาตามเข็มแรก อาทิ หากรับวัคซีนซิโนแวค เป็นเข็มแรก ต้องเว้น 4 สัปดาห์ถึงจะเข้ารับเข็มที่สอง เพราะฉะนั้นถ้าจะเปลี่ยนวัคซีน ก็ให้เว้นไป 4 สัปดาห์ตามระยะเวลาของซิโนแวค ก่อนที่จะเข้ารับวัคซีนยี่ห้อใหม่
 
ในทางกลับกัน ถ้ารับแอสตราเซเนกาเป็นเข็มแรก แล้วเกิดอาการแพ้ ก็ให้เว้นไปประมาณ 3 เดือน ค่อยไปรับวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่สอง
 
ความกลัว ฉีดวัคซีน แล้วเสียชีวิต
 
ส่วนข่าวที่ปรากฏว่า หลังจากฉีดวัคซีนโควิด แล้วเสียชีวิต ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ ระบุว่า จริงๆ อยากให้มีการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงทุกราย ว่าเสียชีวิตเพราะวัคซีนจริงหรือไม่ แต่ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบพบว่า รายที่เสียชีวิต ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีนโดยตรง แต่ส่วนใหญ่มีอาการของโรคเดิม ที่ผู้ป่วยอาจจะไม่รู้มาก่อน หรือมีการรักษา (กินยา) ไม่สม่ำเสมอ
 
อาทิ รายแรกที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เราพบว่า เป็นเส้นเลือดโป่งพองอยู่แล้ว และเสียชีวิตเนื่องจากเส้นเลือดแตก อีกรายที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ พบว่าเสียชีวิตจากเส้นเลือดหัวใจตีบ รายต่อมาเป็นผู้ป่วยหญิง อายุน้อย รอผลการชันสูตรอยู่
 
เมื่อถามว่า ระยะเวลาหลังจากที่ได้รับวัคซีน หากมีอาการของโรคอื่นๆ ร่วมด้วยนั้นจะปรากฏให้เห็นเมื่อใด ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ ระบุว่า เนื่องจากวัคซีนโควิดเป็นวัคซีนใหม่ ดังนั้นเราจึงไม่ทราบแน่นอนว่าผลข้างเคียงจะอยู่นานเท่าไร แต่ตอนนี้ เท่าที่ผู้เชี่ยวชาญ หรือข้อมูลที่จะตรวจสอบได้ใน "หมอพร้อม" จะให้ตัวเลขไว้ที่ 1 เดือน คือ ยิ่งนาน ยิ่งไม่ใช่ผลกระทบที่เกิดจากวัคซีน แต่ถ้านานเกิน 1 เดือน น่าจะเชื่อได้ว่าการเสียชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
 
 
เหตุใดเด็ก จึงไม่ได้รับวัคซีนโควิด
 
 
ขณะนี้มีผลการศึกษาของวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ว่าได้ผลดีในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป จึงได้รับการรับรองในบางประเทศให้ฉีดในเด็กอายุดังกล่าวแล้ว
 
ขณะที่การติดเชื้อในเด็กนั้น โชคดีว่าแม้เด็กจะติดเชื้อ แต่มีอาการน้อย หรือแทบจะไม่มีอาการ การป้องกันที่ดีที่สุด หากรู้ว่าเราเป็นกลุ่มเสี่ยง อยากให้รักษาระยะห่างกับลูกหลาน
 
 
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงศศิโสภิณ ย้ำด้วยว่า แม้จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ยังสามารถที่จะติดเชื้อได้ ดังนั้นจึงยังต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างอยู่ ต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน เพื่อที่จะป้องกันการติดเชื้อ จนกว่าประเทศเราจะมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้วเราจะได้ถอดหน้ากากพร้อมกันทั้งประเทศ.
 
ผู้เขียน : ไอลดา ธนะไพรินทร์
กราฟิก : Sathit Chuephanngam
ที่มา : Thairath Online : https://www.blockdit.com/posts/60a3356fd947460c4fee75ad
 
 
Visitors: 1,405,486