กรมวิทย์เผยผลศึกษา 'น้ำมะพร้าว' กับโรคที่ควรเลี่ยงดื่ม

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศึกษาคุณภาพและความปลอดภัยของ "น้ำมะพร้าว"

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศึกษาคุณภาพและความปลอดภัยของ "น้ำมะพร้าว" สด-ในภาชนะบรรจุปิดสนิท พบว่า มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลอดภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง แต่ควรบริโภคไม่เกิน 1 ผลต่อวัน คนที่เป็นโรคไตเสื่อม-หัวใจเต้นผิดจังหวะควรหลีกเลี่ยง

นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่าตามที่มีข่าวเผยแพร่สรรพคุณของน้ำมะพร้าว ในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย

และทำให้เกิดกระแสการบริโภคน้ำมะพร้าว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร จึงได้ศึกษาคุณภาพและความปลอดภัยของน้ำมะพร้าว

สดและน้ำมะพร้าวในภาชนะบรรจุปิดสนิท ชนิดละ 7 ตัวอย่าง โดยมะพร้าวสดเก็บจากร้านค้าในพื้นที่จังหวัดราชบุรี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ

น้ำมะพร้าวในภาชนะบรรจุปิดสนิท 7 ยี่ห้อ เก็บจากร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้า เพื่อตรวจวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ แร่ธาตุ วิตามิน น้ำตาล ฮอร์โมน 

ความเป็นกรดด่าง และการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช


  • ผลตรวจสรรพคุณน้ำมะพร้าวโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ผลการตรวจวิเคราะห์ พบแคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานีส เหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม และคลอไรด์ในน้ำมะพร้าวสด มากกว่าน้ำมะพร้าว

ในภาชนะบรรจุปิดสนิท โดยเฉพาะโพแทสเซียมและคลอไรด์ในปริมาณเฉลี่ย 133.81 - 215.20 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม


พบวิตามิน บี2 ในน้ำมะพร้าวสดน้อยกว่า 0.01 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร แต่ตรวจไม่พบในน้ำมะพร้าวที่ผ่านการแปรรูป เนื่องจากวิตามิน บี2 ละลายน้ำได้ดีและถูกแสงสว่างทำลายได้ง่าย และวิตามิน บี3 ในปริมาณเฉลี่ย 0.04 - 0.1 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม เนื่องจากวิตามิน บี3 ทนความร้อนและแสงสว่างได้ดีกว่า


พบน้ำตาล 3 ชนิด ประกบด้วย กลูโคส ฟรุกโตส และซูโครส ในปริมาณเฉลี่ย 1.28 - 2.61 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร และพบฮอร์โมนเอสตราไดออล (estradiol) ซึ่งอยู่ใน

กลุ่มของเอสโตรเจน (estrogen) ทุกตัวอย่าง โดยมีปริมาณน้อยกว่า 1.0 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร และเทสโทสเตอโรน (testosterone) น้อยกว่า 0.2 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร สำหรับค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) พบอยู่ในช่วง 4.9 - 5.4 และตรวจไม่พบการตกค้างของสารเคมี กำจัดศัตรูพืชทุกตัวอย่าง


นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่ออีกว่า จากการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวมีแร่ธาตุและเกลือแร่ในปริมาณสูง ส่วนน้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตส และซูโครสที่พบใน

น้ำมะพร้าวสด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยพบว่าน้ำมะพร้าวสดจะมีกลูโคสสูงกว่า น้ำตาลชนิดอื่น (ประมาณ 50% ของน้ำตาลทั้งหมด) และปริมาณน้ำตาลจะขึ้นอยู่กับ


อายุของลูกมะพร้าว โดยมะพร้าวอ่อน จะมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่ามะพร้าวแก่ ส่วนน้ำมะพร้าวในภาชนะบรรจุปิดสนิทจะมีซูโครสสูง อาจเป็นน้ำตาลทรายที่เติมลงไป ในระหว่างกระบวนการผลิต เพื่อปรุงแต่งรสชาติหรือเพิ่มความหวาน การบริโภคน้ำมะพร้าว 1 ผลหรือ 1 ขวด (ประมาณ 200 - 300 มิลลิลิตร) จะได้รับน้ำตาล 7 - 25 กรัม


กรมอนามัยได้แนะนำว่าควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 32 กรัมต่อวัน ดังนั้นการบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 1 ผลต่อวัน จะช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลในกระแส

เลือดได้ดี และมีงานวิจัยขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) พบว่า น้ำมะพร้าวที่มีคุณภาพดีควรมีค่าความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.0 - 5.4 ส่วนเรื่องฮอร์โมนเพศในน้ำมะพร้าวมีปริมาณ estradiol และ testosterone น้อยมาก เมื่อเทียบกับฮอร์โมนเพศที่ถูกผลิตขึ้น ในร่างกายมนุษย์


แต่ก็มีงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการบริโภคน้ำมะพร้าวต่อระบบสืบพันธุ์ พบว่า น้ำมะพร้าวสามารถส่งผลกระตุ้นระบบต่อมไร้ท่อที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนเพศ 

และมีผลช่วยให้อวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงและชาย พร้อมทั้งช่วยให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น

 

ดังนั้นการดื่มน้ำมะพร้าวจึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งจากหลายๆ ปัจจัยในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ และอาจเป็นผลจากแร่ธาตุหลายชนิดในน้ำมะพร้าว เช่น โพแทสเซียม สังกะสี แมงกานีส และวิตามินที่ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดียิ่งขึ้น ส่งผลให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

“น้ำมะพร้าวจัดเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคไตเสื่อม เพราะน้ำมะพร้าว จะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้ และคนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรบริโภคในปริมาณ ที่เหมาะสม” นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว

 

ที่มา : Bangkokbiznews


Visitors: 1,410,123