รู้จัก Dry January งดเหล้าเข้ามกรา !

รู้จัก "Dry January" งดเหล้าเข้ามกรา !
 
ไม่ว่าปี 2020 จะเป็นปีที่เงียบเหงาแค่ไหน ในช่วงเทศกาลวันข้ามปี บรรยากาศก็ยังอบอวลไปด้วยความสนุกสนานจากการเฉลิมฉลอง (ที่บ้าน)
 
แน่นอนว่าแอลกอฮอล์มักมาคู่กับการสังสรรค์ในช่วงเทศกาล แต่หากนำเข้าร่างกายมากเกินไป ก็ย่อมไม่ดีต่อสุขภาพ หรืออาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อมาคู่กับความประมาท
 
ในขณะที่ประเทศไทยมี "งดเหล้าเข้าพรรษา" สหราชอาณาจักรก็ออกแคมเปญที่เรียกว่า "Dry January" ด้วยคอนเซ็ปต์การรณรงค์ให้คนอังกฤษ งดแอลกอฮอล์ในเดือนมกราคมทั้งเดือน เล่นล้อไปกับกระแส "ปีใหม่ คนใหม่"
 
Dry January เวิร์คจริงไหม ? ติดตามได้ที่นี่
 
[ จุดเริ่มต้น ]
 
ในปี 2011 เอมิลี โรบินสัน สาวชาวอังกฤษนักวิเคราะห์นโยบาย ลงสมัครแข่งขันฮาล์ฟมาราธอนซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อให้การฝึกง่ายขึ้น เธอจึงตัดสินใจเลิกดื่มแอลกอฮอล์ในเดือนมกราคม เอมิลีไม่เพียงพบว่าการงดแอลกอฮอล์ทำให้เธอนอนหลับสบายขึ้นเท่านั้น แต่น้ำหนักของเธอยังลดลง และรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
 
ด้วยความที่แอมิลีเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของตัวเอง เมื่อเธอได้ร่วมงานกับองค์กร Alcohol Change UK เธอจึงผลักดัน "Dry January" จนแคมเปญถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2014 ส่งผลให้ชาวอังกฤษกว่า 17,000 คน หยุดดื่มในเดือนมกราคมปีดังกล่าว
 
แม้องค์กรการกุศล Alcohol Concern ของอังกฤษ จะเป็นผู้ถือสิทธิบัตรกับแคมเปญดังกล่าว แต่ไอเดียเรื่องการไม่ดื่มเหล้าในเดือนมกราคมเคยมีมาก่อนแล้ว เมื่อรัฐบาลฟินแลนด์เปิดตัวแคมเปญชื่อ "Sober January" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำสงครามกับสหภาพโซเวียตมาตั้งแต่ปี 1942
 
แคมเปญงดเหล้าเข้ามกราคมของอังกฤษ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยต่อมา Public Health England ร่วมมือกับองค์กรช่วยโปรโมทแคมเปญดังกล่าวผ่านวิทยุ เพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้ผู้คนเข้าร่วมมากขึ้นในปี 2018 ทำให้ "Dry January" มีผู้เข้าร่วมถึง 100,000 คน
 
อีกทั้งงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2018 โดย Royal Free Hospital ยังเผยว่าการดื่มแอลกอฮอล์ 1 เดือน ช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน และลดระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งในเลือดได้จริง
 
นอกจากนี้ 86% ของผู้เข้าร่วมรายงานว่าแคมเปญช่วยประหยัดเงิน, 71% ของผู้เข้าร่วมนอนหลับดีขึ้นและ 66% มีพลังงานมากขึ้น, 65% ของผู้เข้าร่วมมีสุขภาพที่ดีขึ้นและ 58% รายงานว่าพวกเขาน้ำหนักลดลง
 
[ Dry January ได้ผลจริงหรือ ? ]
 
แม้จะได้รับความนิยมล้นหลาม ประสิทธิภาพและประโยชน์ของการแคมเปญนี้กลับถูกโต้แย้งหลายจุด โดยการศึกษาในปี 2014 จากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์ ประเมินว่า ประเพณีงดเหล้า 1 เดือนแบบหักดิบนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการติดสุราเรื้อรัง
 
"การดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งเดือน ปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าคุณดื่มหนักมากเป็นประจำ จนร่างกายต้องพึ่งแอลกอฮอล์ คุณมีแนวโน้มที่จะต้องเข้าบำบัดรักษาเพิ่มเติม" แม้แต่คนในอย่างแมดดี้ ลอว์สัน จาก Alcohol Change UK ยังยอมรับว่า แค่ Dry January อาจไม่เพียงพอสำหรับบางคน
 
"การงดเหล้า 1 เดือน เปรียบเสมือนการพักรบ และ (ผู้เข้าร่วม) ก็คงจะกลับไปทำสงครามกับตับอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์" สจ็วร์ต เจฟฟรีส์ คอลัมน์นิสต์ผู้ตั้งข้อสงสัยในแคมเปญดังกล่าวชี้
 
นักคอลัมน์นิสต์เชื่อว่า การหยุดดื่มสุราเป็นระยะเวลา 1 เดือน ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในระยะยาว เพราะใน Drunk December หรือการดื่มอย่างหนักในเทศกาลช่วงเดือนธันวาคม ที่นำไปสู่ Dry January ก็เหมือนกับอาการโยโย่ของคนลดน้ำหนักเร็วเกินไป ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วม กลับไปดื่มมากขึ้นในเวลาต่อมา
 
สำหรับวิธีที่ดีกว่า คิม ฟรอมม์ ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการศึกษาแอลกอฮอล์สุขภาพ ชี้ว่า เป็นการดีกว่าถ้าเปลี่ยนจากการงดเหล้าทั้งเดือน เป็นงดเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ตลอดทั้งปี เพราะการที่งดสุราเป็นเวลานาน อาจทำให้ผู้คนกลับไปหาการดื่มทันทีในเดือนกุมภาพันธ์หลังแคมเปญสิ้นสุด
 
[ 2021 : ยิ่งเครียดยิ่งดื่ม ]
 
องค์การอนามัยโลกเผยว่าการดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา คนอังกฤษหลายคนเตรียมตัวเตรียมใจจะเข้าร่วม Dry January ในปี 2021 จนกระทั่งม็อบหนุน โดนัลด์ ทรัมป์ บุกสภาคองเกรส เพื่อหวังล้มการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปลายปี 2020 ซึ่งทรัมป์แพ้ให้กับ โจ ไบเดน
 
ความเครียดจากสถานการณ์ความวุ่นวายทั่วโลก บวกกับการต้องเข้าสู่มาตรการล็อคดาวน์จากการระบาดของไวรัสอีกครั้ง เป็นเหตุให้หลายคนเลือกที่จะหันไปหาแอลกอฮอล์ย้อมใจ โดยรายงานจาก KAM Media เผยว่า วันที่ 6 เดือนมกราคม ปี 2021 ชาวอังกฤษกว่า 2.7 ล้านคน ได้ล้มเลิกความพยายามที่จะเลิกสุราใน Dry January รวมถึงการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ภายใต้แนวคิด New year, New me เสียแล้ว
 
ปัญหาการดื่ม เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาตั้งแต่ปี 2020 เมื่อชาวอเมริกัน โดยเฉพาะผู้หญิงดื่มเหล้ามากขึ้นท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิด การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วรวมถึง 17% ตามรายงานที่เผยแพร่ในเดือนกันยายนใน JAMA Network Open
 
อย่างไรก็ตาม คิม ฟรอมม์ เผยว่า แม้การดื่มแอลกอฮอล์เป็นวิธีการรับมือกับความเครียดของคนจำนวนมาก ทำให้ผู้คนล้มเลิกความตั้งใจในการเลิกสุรา แต่มันยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มใหม่
 
"คุณอาจจะมีหลุดไปบ้าง แต่อย่ายอมแพ้"
 
"คุณอาจจะผิดสัญญากับตัวเอง และเผลอดื่มในเดือนมกราคม แต่การดื่มเพียงครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องล้มเลิกเป้าหมายทั้งหมด" ฟรอมม์ กล่าว
 
"การดื่มเป็นวิธีที่ดีในการพักผ่อนร่างกาย และเหตุการณ์นี้ก็เป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจว่า คุณต้องพึ่งพาแอลกอฮอล์มากเพียงใด"
 
"จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่กระตุ้นให้คุณจับเครื่องดื่ม เพราะยิ่งเรารู้ว่าสิ่งกระตุ้นคืออะไรมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งระบุต้นตอของปัญหาได้มากขึ้นเท่านั้น" แนนซี โคเลอร์ นักจิตบำบัดกล่าว
 
"ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผลักดันให้คุณเข้าร่วมแคมเปญ Dry January หากมันทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น นอนหลับดีขึ้น ทุกช่วงเวลาคือโอกาสในการเริ่มต้นวันใหม่ (ไม่เพียงแต่ในเดือนมกราคม)"
 
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และในปี 2021 แม้บางคนอาจจะมีพลาดดื่มไปบ้างจากความเครียด แต่ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า ทุกคนเริ่มใหม่ได้เสมอ สิ่งสำคัญคือการโฟกัสไปที่ "กระบวนการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้อย่างยั่งยืน" ไม่ว่าจะเป็นเดือนไหน
 
ท้ายที่สุดแล้ว เช่นเดียวกับสิ่งต่าง ๆ บนโลกที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แม้ Dry January จะไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่มันก็ยังเป็นแคมเปญที่กระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมได้หันมาสนใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น
 
แล้ววันนี้ คุณ "หยุดดื่ม" หรือยัง ?
 
#StandForAll #Health #DryJanuary #สุขภาพ
 
เรื่องโดย พิมพ์พันธุ์ จันทร์แดง : Mainstand
 
Visitors: 1,405,369