วัคซีนป้องกันโควิดของจีน จากบริษัท Sinovac จะเริ่มฉีดให้คนไทยได้ใน กุมภาพันธ์ 2564

วัคซีนป้องกันโควิดของจีน จากบริษัท Sinovac จะเริ่มฉีดให้คนไทยได้ใน กุมภาพันธ์ 2564
 
ได้ฉีดก่อนก็โชคดี ฉีดทีหลังก็โชคดี เช่นเดียวกัน
 
 
คงจะต้องมาทำความรู้จักกันในรายละเอียดของวัคซีน Sinovac ให้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้
 
 
จะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าบังเอิญอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับการฉีดวัคซีนนี้
 
วิธีการดูวัคซีน ว่าดีหรือไม่ เหมาะสมกับการฉีดอย่างไร ประกอบด้วย
 
1) ความปลอดภัย(Safety) ฉีดแล้วต้องไม่มีอาการแพ้รุนแรง(Anaphylaxis) ไม่ควรมีการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน
 
 
2)ประสิทธิภาพในการป้องกันโรค(Effectiveness) ฉีดแล้วต้องป้องกันได้จริง ไม่ใช่ฉีดไปแล้ว มีผู้คนจำนวนมากติดโรคโควิดอีก
 
3) คุณภาพ(Quality) ของวัคซีน เมื่อมาถึง ณ จุดที่เราจะต้องฉีดวัคซีน ต้องมีระบบการควบคุมความเย็น(Cold chain) ระหว่างการขนส่งให้ดี ไม่ใช่มาถึงเรา คุณภาพเสื่อมไปมากแล้ว ฉีดไปไม่ได้ผลเหมือนฉีดน้ำเปล่า
 
ถ้าดูจาก 3 ข้อนี้ ก็ต้องนำวัคซีนของ Sinovac ไปเปรียบเทียบกับวัคซีนสามชนิดแรกที่ได้จดทะเบียนฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉิน(EUA)ไปแล้วคือ ของ Pfizer Moderna และของ AstraZeneca กันไปทีละข้อนะครับ
 
ข้อแรก เรื่องความปลอดภัย วัคซีนของสามบริษัทแรก มีรายงานการศึกษาวิจัยในการทดลองเฟสสามในอาสาสมัครจำนวนหลาย 10,000 คน
 
ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงที่เรียกว่าช็อค แต่เมื่อฉีดจริงแล้ว วัคซีนของ Pfizer เจออาการรุนแรงแบบช็อคไปแปดราย
 
 
ของ Moderna พบหนึ่งราย
ส่วนของ AstraZeneca ยังไม่พบอาการแพ้รุนแรงเนื่องจากเพิ่งเริ่มฉีด
 
 
ส่วนวัคซีนของ Sinovac ได้มีการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในประเทศจีนไปแล้วหลายแสนคน บางรายงานข่าวกล่าวว่าเกิน 1 ล้านคนไปแล้ว
 
ยังไม่มีรายงานการแพ้ที่รุนแรงแบบช็อค (แต่การรายงานเรื่องทางลบแบบนี้ ในประเทศจีนอาจมีการกรองข่าวไว้ก่อนได้)
 
 
ถ้าดูความปลอดภัยในมุมของเทคโนโลยีการผลิตบ้าง วัคซีนของบริษัท Pfizer และ Moderna เป็นเทคโนโลยีใหม่คือ mRNA ซึ่งยังไม่เคยผลิตวัคซีนใช้ในมนุษย์มาก่อนเลย จึงไม่สามารถจะบอกความปลอดภัยในระยะยาวได้
 
ส่วนวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ดีกว่า เพราะเทคโนโลยีแบบไวรัสเป็นพาหะ เคยใช้ในการผลิตวัคซีนมาแล้ว
 
ส่วนวัคซีนของ Sinovac มีความปลอดภัยในเรื่องเทคโนโลยีมากที่สุด เพราะเป็นเทคโนโลยีวัคซีนเชื้อตาย(Inactivated) ซึ่งใช้ผลิตวัคซีนมาแล้วหลายตัวเป็นเวลาหลาย 10 ปี มีความปลอดภัยในระดับสูง
 
 
ข้อสอง คือดูเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันโรค พบว่าวัคซีน
ไฟเซอร์ป้องกันโรคได้ถึง 95%
Moderna ป้องกันได้ 94.5%
AstraZeneca มีค่าเฉลี่ยประมาณ 70% โดยแยกเป็นประสิทธิภาพในการป้องกันที่อังกฤษ 90% ที่บราซิล 62%
 
 
ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac จากการทดลองที่ตุรกีมีประสิทธิภาพ 91.25% ส่วนที่บราซิลรายงานเพียงแค่ว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า 50% (ตรงจุดนี้ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน)
 
 
ข้อสุดท้ายคือ เรื่องคุณภาพ เมื่อมาถึงจุดที่จะฉีดวัคซีน
 
 
วัคซีนของสองบริษัทแรกจากสหรัฐอเมริกามีความยุ่งยากในการเก็บคือ ของ
 
 
Pfizer ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส
ของ Moderna ต้องเก็บที่ -20 องศาเซลเซียส
ทำให้มีความเสี่ยงต่อการคงคุณภาพ เมื่อมีการขนส่งเป็นระยะทางไกลๆ และเมื่อนำเข้าสู่ประเทศที่มีอุณหภูมิสูงเช่นประเทศไทย
 
 
ส่วนวัคซีนของบริษัท AstraZeneca และ Sinovac จะมีความปลอดภัยในการคงคุณภาพมากกว่า เนื่องจากเก็บในตู้เย็นธรรมดาที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส
 
 
นอกจากสามปัจจัยดังกล่าว
ถ้ามาคิดเรื่องราคาประกอบด้วย ซึ่งไม่ใช่ประเด็นของคนไทย เพราะรัฐบาลประกาศให้ฉีดฟรีนั้น ภาระงบประมาณของรัฐบาลต่อวัคซีนบริษัทสหรัฐฯมีราคาแพงกว่ามาก
 
แพงกว่าทั้งของบริษัทที่อังกฤษและของจีน
 
ในเดือนกุมภาพันธ์ ไทยมีแผนที่จะฉีดวัคซีน 200,000 เข็ม
มีนาคม 800,000 เข็ม
และเมษายน 1,000,000 เข็ม
 
ถัดจากนั้นในเเดือนพฤษภาคม คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีจำนวน 26,000,000 เข็ม ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 20%
 
แต่รัฐบาลได้ประกาศ ตั้งเป้าว่า สิ้นปีนี้จะฉีดวัคซีนคนไทยให้ได้ 50% คือ 70,000,000 เข็มสำหรับประชากร 35,000,000 คน
 
ซึ่งจะต้องหามาจากสองแหล่งคือ ระบบ COVAX ขององค์การอนามัยโลก และติดต่อบริษัทเอกชนอื่นๆตามประเทศต่างๆต่อไป
 
 
ส่วนที่กล่าวว่า ฉีดก่อนก็โชคดี ฉีดทีหลังก็โชคดี ก็คือ
 
 
ในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยง การมีวัคซีนที่มีผลปลอดภัยในเบื้องต้น ประสิทธิภาพการป้องกันโรคใช้ได้ ก็น่าจะคุ้มค่า ที่จะฉีดเพื่อป้องกันการติดโควิด ซึ่งอาจจะเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้
 
 
ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลการฉีดวัคซีน 2,000,000 เข็มแรก ในช่วงสามเดือนของคนไทยว่า จะมีผลเป็นอย่างไร
 
 
ก็เลยถือว่าโชคดีเช่นกัน ขอให้ทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกัน ฝ่าฟันอุปสรรคสถานการณ์ โควิด-19 ครั้งนี้ไปด้วยกันนะครับ
 
วัคซีนเป็นตัวเสริมครับ วินัยในการป้องกันตัวเองเป็นเรื่องหลักเสมอ
 
 
Reference
 
 
ที่มา : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
Visitors: 1,403,277