การเดิน คือเพื่อนแท้ คนลดน้ำหนัก
การเดิน คือเพื่อนแท้ คนลดน้ำหนัก
การเดินทำได้ง่าย ๆ ถือเป็นการออกกำลังกายแบบหนึ่ง มีแรงกระแทกต่ำ แต่มีแรงกด ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง แตกต่างกับการวิ่ง โดยเฉพาะคนที่กำลังหัด วิ่ง ใหม่ ๆ จะเห็นได้ว่าในวันรุ่งขึ้น จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว
การเดินออกกำลังกายใช้ แคลอรี่พอ ๆ กับการวิ่ง ในระยะทางที่เท่ากัน แต่การเดิน อาจใช้เวลามากกว่า การวิ่ง เช่น เดิน 2 กิโลเมตร กับวิ่ง 2 กิโลเมตร ใช้แคลอรี่เท่ากันที่สำคัญ และแตกต่างคือ การเดิน ใช้พลังงานหลัก มาจากไขมัน
การเดินถือเป็นการออกำลังกายแบบเบา ร่างกายจะใช้พลังงานที่มาจากไขมัน ให้เป็นพลังงานหลักใน การเดินออกกำลังกายแต่ถ้าเราออกกำลังกาย แบบหนัก เช่น การวิ่ง ร่างกายจะใช้พลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต เป็นหลัก และใช้ไขมันบางส่วน เท่านั้น
สรุปคือ การเดินออกกำลังกาย เผาผลาญไขมัน ได้ดีกว่าการวิ่ง การเดินร่างกายใช้พลังงานจากไขมันมากกว่า ในเวลาออกกำลังกาย เวลาหยุดออกกำลังกาย มีผลทำให้เราไม่หิวง่าย
ส่วนการวิ่ง เราใช้พลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต เป็นหลักในการออกกำลังกาย ร่างกายจึงต้องการการชดเชย ดังนั้นหลายคนเมื่อวิ่งเสร็จ จะรู้สึกว่าหิวมาก หิวง่าย เป็นพิเศษ
ถ้าอยู่ใน ช่วงควบคุมอาหาร หรือไดเอทจะทำให้ยากแก่การไดเอทได้ การเดิน จึงสามารถควบคุมการหิว ได้ดี กว่าการวิ่ง ช่วยให้ไดเอทดีขึ้น ควบคุมปริมาณอาหารง่ายขึ้น
สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก แนะนำให้เริ่มเดินออกกำลังกาย จะดีที่สุด ถ้าเราเริ่มออกกำลังกายด้วยการวิ่งบางครั้ง น้ำหนักตัวที่มาก ของเรา จะทำให้การวิ่งมีปัญหา เช่น เหนื่อยง่าย กว่าปกติ เพราะเหมือนเรากำลังวิ่งแล้วแบกของหนัก ๆ ไปด้วย การเดินจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่สำคัญ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือ ต้องการออกกำลังกายแบบเบา คือการเดินต้องตั้งเป้าหมายกับตนเอง มาตรฐานขึ้นต่ำ ของการเดินออกกำลังกายต่อวัน ไม่ควรต่ำกว่า วันละ 22 นาที อาจจะ แบ่งเป็นสองช่วงได้ ช่วงเช้า เดินต่อเนื่อง 12 นาที ช่วงเย็น เดินอีก 12 นาที เป็นต้น
เพื่อการลดน้ำหนัก จริงจัง องค์การอนามัยโลก แนะนำไว้ว่า ควรเดิน ประมาณ วันละ 1 ชม 40 นาที โดยการเฉลี่ยเวลาทั้งวัน แบ่งเป็นช่วง ๆ ได้ เช่น เช้า และ เย็น เทียบเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร/วัน แต่ถ้าเราเดินเร็ว ระยะทางจะใช้แค่ 3.5 กิโลเมตร
ฉะนั้น เดินช้า = เดินไกล
เดินเร็ว = เดินใกล้
หรือ อาจใช้เครื่องนับก้าว จากแอป ในมือถือ สามารถช่วยนับก้าว (8,500 ก้าว) ของเราได้ตลอดทั้งวัน ที่สำคัญ ก็คือ อย่างหยุดออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ และควบคุมอาหาร แค่นี้ร่างกายของเรา ก็จะแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ
ที่มา : Club คนรักสุขภาพ https://www.blockdit.com/articles/5caee6e0e993b50ff7e52aab/#
|
การเดินทำได้ง่าย ๆ ถือเป็นการออกกำลังกายแบบหนึ่ง มีแรงกระแทกต่ำ แต่มีแรงกด ทำให้กระดูกและ กล้ามเนื้อแข็งแรง
แตกต่างกับการวิ่ง โดยเฉพาะคนที่กำลังหัด วิ่ง ใหม่ ๆ จะเห็นได้ว่าในวันรุ่งขึ้น จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว
การเดินออกกำลังกายใช้ แคลอรี่
พอ ๆ กับการวิ่ง ในระยะทางที่เท่ากัน
แต่การเดิน อาจใช้เวลามากกว่า การวิ่ง
เช่น เดิน 2 กิโลเมตร กับวิ่ง 2 กิโลเมตร
ใช้แคลอรี่เท่ากัน
ที่สำคัญ และแตกต่าง
คือ การเดิน ใช้พลังงานหลัก มาจากไขมัน
การเดินถือเป็นการออกำลังกายแบบเบา ร่างกายจะใช้พลังงานที่มาจากไขมัน ให้เป็นพลังงานหลักใน การเดินออกกำลังกาย
แต่ถ้าเราออกกำลังกาย แบบหนัก
เช่น การวิ่ง ร่างกายจะใช้พลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต เป็นหลัก และใช้ไขมันบางส่วน เท่านั้น
สรุปคือ การเดินออกกำลังกาย เผาผลาญไขมัน ได้ดีกว่าการวิ่ง การเดินร่างกายใช้พลังงาน
จากไขมันมากกว่า ในเวลาออกกำลังกาย เวลาหยุดออกกำลังกาย มีผลทำให้เราไม่หิวง่าย
ส่วนการวิ่ง เราใช้พลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต เป็นหลักในการออกกำลังกาย ร่างกายจึงต้องการการชดเชย ดังนั้นหลายคนเมื่อวิ่งเสร็จ จะรู้สึกว่าหิวมาก หิวง่าย เป็นพิเศษ
ถ้าอยู่ใน ช่วงควบคุมอาหาร หรือไดเอท
จะทำให้ยากแก่การไดเอทได้
การเดิน จึงสามารถควบคุมการหิว ได้ดี กว่าการวิ่ง ช่วยให้ไดเอทดีขึ้น ควบคุมปริมาณอาหารง่ายขึ้น
สหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
แนะนำให้เริ่มเดินออกกำลังกาย จะดีที่สุด
ถ้าเราเริ่มออกกำลังกายด้วยการวิ่งบางครั้ง
น้ำหนักตัวที่มาก ของเรา จะทำให้การวิ่งมีปัญหา เช่น เหนื่อยง่าย กว่าปกติ เพราะเหมือนเรากำลังวิ่งแล้วแบกของหนัก ๆ ไปด้วย การเดินจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่สำคัญ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือ ต้องการออกกำลังกานแบบเบา คือการเดิน
ต้องตั้งเป้าหมายกับตนเอง
มาตราฐานขึ้นต่ำ ของการเดินออกกำลังกายต่อวัน ไม่ควรต่ำกว่า วันละ 22 นาที
อาจจะ แบ่งเป็นสองช่วงได้ ช่วงเช้า เดินต่อเนื่อง 12 นาที ช่วงเย็น เดินอีก 12 นาที เป็นต้น
เพื่อการลดน้ำหนัก จริงจัง องค์การอนามัยโลก แนะนำไว้ว่า ควรเดิน ประมาณ วันละ 1 ชม 40 นาที โดยการเฉลี่ยเวลาทั้งวัน แบ่งเป็นช่วง ๆ ได้ เช่น เช้า และ เย็น
เทียบเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร/วัน
แต่ถ้าเราเดินเร็ว ระยะทางจะใช้แค่ 3.5 กิโลเมตร
ฉะนั้น เดินช้า = เดินไกล
เดินเร็ว = เดินใกล้
หรือ อาจใช้เครื่องนับก้าว จากแอป ในมือถือ สามารถช่วยนับก้าว(8,500 ก้าว)ของเราได้ตลอดทั้งวัน
ที่สำคัญ ก็คือ อย่างหยุดออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ และควบคุมอาหาร แค่นี้ร่างกายของเรา ก็จะแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ
การเดินทำได้ง่าย ๆ ถือเป็นการออกกำลังกายแบบหนึ่ง มีแรงกระแทกต่ำ แต่มีแรงกด ทำให้กระดูกและ กล้ามเนื้อแข็งแรง
แตกต่างกับการวิ่ง โดยเฉพาะคนที่กำลังหัด วิ่ง ใหม่ ๆ จะเห็นได้ว่าในวันรุ่งขึ้น จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว
การเดินออกกำลังกายใช้ แคลอรี่
พอ ๆ กับการวิ่ง ในระยะทางที่เท่ากัน
แต่การเดิน อาจใช้เวลามากกว่า การวิ่ง
เช่น เดิน 2 กิโลเมตร กับวิ่ง 2 กิโลเมตร
ใช้แคลอรี่เท่ากัน
ที่สำคัญ และแตกต่าง
คือ การเดิน ใช้พลังงานหลัก มาจากไขมัน
การเดินถือเป็นการออกำลังกายแบบเบา ร่างกายจะใช้พลังงานที่มาจากไขมัน ให้เป็นพลังงานหลักใน การเดินออกกำลังกาย
แต่ถ้าเราออกกำลังกาย แบบหนัก
เช่น การวิ่ง ร่างกายจะใช้พลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต เป็นหลัก และใช้ไขมันบางส่วน เท่านั้น
สรุปคือ การเดินออกกำลังกาย เผาผลาญไขมัน ได้ดีกว่าการวิ่ง การเดินร่างกายใช้พลังงาน
จากไขมันมากกว่า ในเวลาออกกำลังกาย เวลาหยุดออกกำลังกาย มีผลทำให้เราไม่หิวง่าย
ส่วนการวิ่ง เราใช้พลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต เป็นหลักในการออกกำลังกาย ร่างกายจึงต้องการการชดเชย ดังนั้นหลายคนเมื่อวิ่งเสร็จ จะรู้สึกว่าหิวมาก หิวง่าย เป็นพิเศษ
ถ้าอยู่ใน ช่วงควบคุมอาหาร หรือไดเอท
จะทำให้ยากแก่การไดเอทได้
การเดิน จึงสามารถควบคุมการหิว ได้ดี กว่าการวิ่ง ช่วยให้ไดเอทดีขึ้น ควบคุมปริมาณอาหารง่ายขึ้น
สหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
แนะนำให้เริ่มเดินออกกำลังกาย จะดีที่สุด
ถ้าเราเริ่มออกกำลังกายด้วยการวิ่งบางครั้ง
น้ำหนักตัวที่มาก ของเรา จะทำให้การวิ่งมีปัญหา เช่น เหนื่อยง่าย กว่าปกติ เพราะเหมือนเรากำลังวิ่งแล้วแบกของหนัก ๆ ไปด้วย การเดินจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ที่สำคัญ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือ ต้องการออกกำลังกานแบบเบา คือการเดิน
ต้องตั้งเป้าหมายกับตนเอง
มาตราฐานขึ้นต่ำ ของการเดินออกกำลังกายต่อวัน ไม่ควรต่ำกว่า วันละ 22 นาที
อาจจะ แบ่งเป็นสองช่วงได้ ช่วงเช้า เดินต่อเนื่อง 12 นาที ช่วงเย็น เดินอีก 12 นาที เป็นต้น
เพื่อการลดน้ำหนัก จริงจัง องค์การอนามัยโลก แนะนำไว้ว่า ควรเดิน ประมาณ วันละ 1 ชม 40 นาที โดยการเฉลี่ยเวลาทั้งวัน แบ่งเป็นช่วง ๆ ได้ เช่น เช้า และ เย็น
เทียบเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตร/วัน
แต่ถ้าเราเดินเร็ว ระยะทางจะใช้แค่ 3.5 กิโลเมตร
ฉะนั้น เดินช้า = เดินไกล
เดินเร็ว = เดินใกล้
หรือ อาจใช้เครื่องนับก้าว จากแอป ในมือถือ สามารถช่วยนับก้าว(8,500 ก้าว)ของเราได้ตลอดทั้งวัน
ที่สำคัญ ก็คือ อย่างหยุดออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ และควบคุมอาหาร แค่นี้ร่างกายของเรา ก็จะแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ