ความร่วมมือกันของ Apple และ Google ในการพัฒนาระบบสู้ COVID-19
เจาะประเด็น ความร่วมมือกันของ Apple และ Google ในการพัฒนาระบบสู้ COVID-19
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกจากอเมริกา ได้ประกาศความร่วมมือกัน เพื่อแก้ปัญหาระดับโลก ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ เนื่องด้วย Google และ Apple เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์มือถือ ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดรวมกัน 99.29% ( Android 72.26% iOS 27.03% ) ประเด็นสำคัญที่น่าติดตามก็คือ 1) แตกต่างจากแอพที่มีการพัฒนาแล้วยังไงบ้าง 2) มือถือรุ่นไหนบ้างที่สามารถใช้ได้ และ 3) จะได้ใช้เมื่อไหร่ ก่อนอื่นจะขออธิบาย ถึงวิธีการอย่างคร่าวๆ ที่หลายประเทศใช้ เพื่อติดตามผู้ป่วย โดยการใช้ Bluetooth ก่อนแล้วกันนะครับ โดยส่วนมากแล้วจะมี 2 ขั้นตอนหลักๆ ก็คือ 1) ทุกคนโหลดแอพพลิเคชั่นเดียวกันและเปิดใช้งานบนเครื่อง 2) เปิด Bluetooth : Bluetooth เป็นสัญญาณวิทยุชนิดหนึ่ง ที่ใช้เชื่อมต่อ ส่งข้อมูล ระหว่างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในระยะ หลัก 10 เมตร เมื่อ Bluetooth เครื่องเราไปใกล้กับเครื่องอื่น นั่นก็แปลว่า เราไปใกล้คนอื่น นั่นเอง ทั้งเครื่องเราและเครื่องของคนที่ใกล้กันก็จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เปรียบเหมือนการ "แลกนามบัตร" ทำความรู้จักกัน เมื่อ พบว่าใครคนใดคนนึงติดเชื้อ หมอหรือบุคคลากรทางการแพทย์ก็จะขออนุญาตคนไข้ "ดูนามบัตรทั้งหมด" ที่เก็บเอาไว้ ว่าไปเจอใครมาบ้าง แล้วทำการ ติดต่อไปหาคนที่อยู่ในนามบัตรนั้นทั้งหมด ให้เฝ้าระวังอาการ วิธีการอย่างคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ เข้าประเด็นกันเลย! 1) แตกต่างจากแอพที่มีการพัฒนาแล้วยังไงบ้าง ในหลายประเทศ ที่ได้มีการร่วมกันของภาคเอกชนและภาครัฐ ในการทำแอพติดตาม ผู้ติดเชื้อ นั้นจะคล้ายคลึงกัน ในแง่ของระบบ แต่ "ข้อมูลที่นำไปใช้ในระบบ" นั้นต่างกัน หนึ่งในแอพติดตามผู้ติดเชื้อโควิดที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เป็นของ ประเทศสิงคโปร์ที่มีการพัฒนาแอพที่ชื่อว่า "Trace Together" ซึ่งการลงทะเบียนนั้น จะต้องใช้ข้อมูล "เบอร์โทรศัพท์ของตนเอง" ส่งขึ้นระบบ และจะมีเลขรหัสประจำตัวผู้ใช้ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโทรศัพท์ใกล้เคียงกัน นั้นถูกเข้ารหัสไว้ทั้งหมด แบบไม่ระบุตัวตน มาดูทางด้านแอพ "หมอชนะ" ของประเทศไทยเราบ้าง การลงทะเบียนโดยไม่ขอข้อมูลส่วนตัวใดๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ หรือเลขบัตรประชาชน แต่ จะต้องถ่าย "รูปโปรไฟล์ตัวเอง(หน้าตัวเอง)" ก่อน หลังจากนั้น ตัวแอพจะขอสิทธิเข้าถึง Location-GPS "ตำแหน่ง" , motion "การเคลื่อนที่" และ "Bluetooth" โดยข้อมูลทั้งหมดที่เก็บไว้ในระบบจะถูกทำลายทิ้งหลังผ่านวิกฤตไปแล้ว ในส่วนของปัญหาของการใช้งานแอพลิเคชั่น จากการได้ลองเข้าไปดู Review ของแอพก็พบว่า TraceTogether ดูจะมีปัญหาในเรื่องของ เสถียรภาพในการใช้งาน ปัญหาของการใช้ Bluetooth กับอุปกรณ์อื่นเช่นหูฟัง และปัญหาแบตเตอรี่ลดเร็วเนื่องจากต้องเปิดใช้งานตลอดเวลา
ส่วนทางด้าน iOS ที่มีความปลอดภัยของตัวระบบเอง ก็ทำให้ผู้เขียนแอพลิเคชั่นภายนอก เปิดใช้ อุปกรณ์ Bluetooth ตลอดเวลา ลำบากเลยคิดว่า สิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผล ที่ทำให้ บริษัทยักษ์ใหญ่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมแก้ปัญหาระดับโลกนี้ไปด้วยกัน ระบบสู้ COVID-19 ที่ Google และ Apple กำลังช่วยกันพัฒนาอยู่นั้น ได้ประกาศไว้ว่า จะคำนึงถึง ความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งานเป็นหลัก - จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใช้ก่อน - ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ระบุตัวตนได้ หรือ ตำแหน่งของผู้ใช้งาน - ข้อมูลจากคนที่เราเข้าใกล้จะไม่หายไปจากเครื่อง - ข้อมูลจากคนที่ติดเชื้อ จะไม่สามารถระบุตัวตนได้ ทั้งกับผู้ใช้งาน , Google หรือ Apple - จะใช้สำหรับติดตามการติดต่อ โดย เจ้าหน้าที่สาธารณะสุข เพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 เท่านั้น - รองรับทั้ง Android และ iPhone ข้อมูลในการแลกเปลี่ยนและเก็บไว้ในระบบจะถูกเข้ารหัสทั้งหมด โดยการพัฒนาจะแบ่งออกเป็น 2 เฟส เฟสแรกคือ พัฒนา API ให้สำเร็จ เพื่อใช้ทั้งฝั่ง Android และ iOS โดยจะใช้งานผ่าน Official Application ที่นำไปลง AppStore และ Google Play Store โดยสาธารณะสุข เท่านั้น เฟสที่ 2 เป้าหมายคือการฝัง ตัวระบบ เข้าไปใน ระบบปฏิบัติการทั้ง iOS และ Android เลย แต่ว่ายังไม่ได้ยืนยันออกมา ถ้าใช่ก็คาดว่า การใช้งานก็คือ สามารถกดใช้ได้เลยที่หน้าตั้งค่าหรือ Setting เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลง แอพลิเคชั่นเพิ่มเติม 2) มือถือรุ่นไหนบ้างที่สามารถใช้ได้ ในเรื่องของ Bluetooth Low Energy , มือถือ Smartphone เกือบทุกรุ่นมีติดมาอยู่แล้ว ถ้าเป็นฝั่ง iPhone ก็ตั้งแต่สมัย iPhone4S ปี 2011 ส่วน Android ก็รองรับตั้งแต่ปี 2012 ทาง Apple นั้นได้บอกว่า จะทำการอัพเกรดเข้าไปใน อุปกรณ์ที่รองรับ iOS13 ซึ่งหมายความว่า อุปกรณ์ที่คาดว่าจะได้ใช้ ได้แก่ - iPod touch (7th gen) - iPhone 6s - iPhone 6s Plus - iPhone SE - iPhone 7 - iPhone 7 Plus - iPhone 8 - iPhone 8 Plus - iPhone X - iPhone XR - iPhone XS - iPhone XS Max - iPhone 11 - iPhone 11 Pro - iPhone 11 Pro Max โดย สถิติจำนวน อุปกรณ์ที่ใช้ iOS13 คือ 78.19% ส่วนทาง Android ของ Google นั้น ตัวระบบจะรองรับตั้งแต่ Android 6.0 Marshmallow หรือใหม่กว่า ได้แก่อุปกรณ์ที่รองรับ ระบบปฏิบัติการดังนี้ - Android 6.0 Marshmallow - Android 7.0 Nougat - Android 8.0 Oreo - Android 9 Pie - Android 10 จากข้อมูลเว็ปสถิติ statcounter พบว่า หากเป็นเช่นนั้นจะเท่ากับ รองรับอุปกรณ์ Android ทั้งหมดในตลาด กว่า 91.32% เลยทีเดียว 3) จะได้ใช้เมื่อไหร่ ในส่วนของ เฟสแรกนั้น Apple และ Google คาดการณ์ว่า ตัวระบบ จะพัฒนาแล้วเสร็จในเดือนหน้า กลางเดือน พฤษภาคม นี้ ส่วนเฟสสอง ยังไม่มีกำหนดการออกมาอย่างแน่ชัด อย่างไรก็ดี เราก็คงต้องรอดูกันก่อน ว่า Apple และ Google จะสามารถทำได้อย่างที่บอกไว้หรือไม่ และ จะออกมาในรูปแบบไหน
Source: - TechGuy |