
ภูเขาขยะแพรกษา
ภูเขาขยะแพรกษา เป็นปลายทางของขยะทั้งจากในกรุงเทพและปริมณฑล ที่พอกพูนขึ้นมาจากขยะวันละ 2,000 ตัน ซึ่ง 2,000 ตรงนี้จะถูกแบ่งออกไป 500 ตันต่อวัน เพื่อนำไปเข้าสู่โรงไฟฟ้าขยะ ที่จะนำขยะบางชนิดไปแปรเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน
และส่วนที่เหลือที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลหรือทำเชื้อเพลิงได้ก็จะถูกส่งไปทับถมกันบนภูเขาขยะแพรกษาแห่งนี้ ส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นลอยโชยไปยังชุมชน ตามแต่ทิศทางลมจะพาไป
นอกจากนี้ความชันของภูเขายังส่งผลให้ขยะในด้านตะวันออกของภูเขาขยะเลื่อนไถลลงไปด้านล่างซึ่งเป็นคลองทับนาง ทำให้ขยะลงไปสู่แหล่งน้ำ ทำสภาพน้ำในคลองนิ่ง มีขยะปะปนอย่างชัดเจน
แต่ที่น่าหดหู่ไปมากกว่าคือด้านตะวันตกก็มีความสุ่มเสี่ยงที่ขยะจะไหลลงไป ใกล้กับศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตรเท่านั้น และเสี่ยงก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายด้วย
คนไทยฮือฮา มลพิษทางแสง สร้างแสงเหนือเมืองไทย
เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เกิดภาพไวรัลในสื่อโซเชียลว่าท้องฟ้าเหนือจุดชมวิวเขาพะเนินทุ่ง ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เกิดแสงสีเขียว เหมือนแสงเหนือออโรร่าของประเทศใกล้ขั้วโลก
แต่ก็เกิดข้อถกเถียงกันว่า ใช่แสงเหนือจริงเหรอ เกิดขึ้นในไทยได้จริง? ซึ่งในเวลาต่อมา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ได้ออกมาอธิบายว่า แสงสีเขียวที่เห็นนั้นคือแสงจากเรือไดหมึก จากทะเลอันดามัน แต่โซเชียลยังไม่เชื่อเต็มร้อย แสงจากเรือไดหมึกจะมาถึงเพชรบุรีได้อย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม แสงดังกล่าว ถือเป็นมลพิษทางแสง จนขนาดที่ว่าเราสามารถมองเห็นแสงนี้ได้จากนอกโลก ปัญหามลพิษทางแสงของเรื่องนี้คือ แสงที่มากเกินไปส่งผลกระทบต่อนกที่บินอพยพในช่วงเวลาตอนกลางคืน รวมถึงแมลงและสัตว์อื่น ๆ ในระบบนิเวศใกล้เคียง ที่ใช้ความมืดในการออกล่า
สารซีเซียม -137 ที่หายไป
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2566 เมื่อมีคนไปพบว่าวัสดุกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 หายออกไปจากโรงไฟฟ้า จ.ปราจีนบุรี
ซีเซียม-137 เป็นสารกัมมันตภาพรังสีอันตรายประเภท 3 ตามการจำแนกของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ มักถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เครื่องวัดความชื้นและความหนาแน่น ในทางการแพทย์ ใช้บำบัดมะเร็งใช้เป็นต้นกำเนิดรังสีแกมมา มาตรฐานสำหรับการปรับเทียบระบบการวัดรังสี แกมมาในห้องปฏิบัติการวิจัยทางรังสี
นอกจากจะอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ก่อเกิดโรคมะเร็ง ยังทำอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมด้วย อาจมีการปนเปื้อนลงไปยังฝุ่น อากาศ และแหล่งน้ำ ทำให้ทั้งคนและสัตว์เสี่ยงได้รับสารอันตราย
ถือว่านี่คือความหละหลวงของโรงงานและการออกกฎควบคุมโดยรัฐ ที่ทำให้วัสดุอันตรายหลุดรอดสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ที่มา : https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/845779