ในที่สุด !! ก็ตรวจพบการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์แอฟริกาใต้

ในที่สุด !! ก็ตรวจพบการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่ ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งประสิทธิผลของวัคซีนทุกชนิดลดลงในการป้องกันโรค
 
จากสถานการณ์โควิดของโลก ซึ่งพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั้งในประเด็น
 
1) การแพร่กระจายรวดเร็วขึ้น
2) การก่อโรคที่มีอาการรุนแรงขึ้น
3) ประเด็นที่สำคัญมากคือ การดื้อต่อวัคซีน หรือทำให้วัคซีนมีประสิทธิผลลดลง
 
พบว่าไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (B 1.351) เป็นสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงเป็นลำดับต้น เนื่องจากมีข้อมูลหลายแหล่ง ที่ยืนยันว่าดื้อต่อวัคซีนหลากหลายบริษัท
 
รวมทั้งทำให้ประสิทธิผล ในการป้องกันโรคของวัคซีนลดลง
 
โดยมีรายงานข่าวว่าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการตรวจหาลำดับสารพันธุกรรมของไวรัส
 
จากตัวอย่างที่ส่งมาจากคลัสเตอร์ ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่คาดว่าจะมาจากผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
 
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราห่วงกันอยู่แล้ว เพราะเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ทางการไทยก็สามารถตรวจสกัดผู้ติดไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่สถานกักกันของรัฐ(SQ)
 
โดยเป็นชายไทยวัย 41 ปี ไปทำธุรกิจค้าพลอยที่แทนซาเนีย เดินทางกลับมาพร้อมกับมีเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ โชคดีที่สามารถสกัดไว้ได้
 
และในที่สุด วันนี้ก็ได้รับรายงานผลว่าตรวจพบ ไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ B 1.351
 
ลองมาดูรายละเอียด การดื้อของไวรัสต่อวัคซีนบริษัทต่างๆดังนี้
 
1) วัคซีนบริษัท Pfizer จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยการนำเลือดของผู้ที่ฉีดวัคซีน ที่มีระดับภูมิคุ้มกันในการทำลายล้างไวรัสขึ้นแล้ว ไปทดลองฆ่าไวรัส พบว่ากระทบความสามารถถึงสองในสาม
 
2) วัคซีนบริษัท Moderna จากการทดลองในห้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน ทำให้ต้องใช้ระดับภูมิคุ้มกันในเลือดของผู้ที่รับวัคซีนแล้ว เพิ่มขึ้นถึงแปดเท่า ในการยับยั้งไวรัส
 
3) วัคซีนบริษัท AstraZeneca แม้จะป้องกันการมีอาการแบบรุนแรงได้ แต่ความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อแบบอาการน้อย เหลือเพียง 10.4%
 
4) วัคซีนบริษัท Novavax จากที่เคยป้องกันสายพันธุ์ปกติได้ 89% เมื่อใช้ในประเทศแอฟริกาใต้ กันได้เพียง 50%
 
5) วัคซีนบริษัท Johnson & Johnson เข็มเดียวป้องกันในสหรัฐอเมริกาได้ 72% เมื่อใช้ในแอฟริกาใต้ การป้องกันลดลงเหลือเพียง 57%
 
จะเห็นได้ว่า วัคซีนทุกบริษัท ล้วนแต่มีประสิทธิผลลดลงกับไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ทั้งสิ้น
 
แต่ก็มีข่าวดีจากบริษัท Moderna ซึ่งได้ปรับวัคซีนจากmRNA-1273 เป็น mRNA-1273.351 พบว่าในเบื้องต้น ตอบสนองต่อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ได้ดี
 
โดยเป็นการฉีดกระตุ้นเข็มที่สาม ขนาด 50 ไมโครกรัม หลังจากที่ได้รับวัคซีนปกติสองเข็มแล้ว
 
โควิด-19 เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีการ
กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงของวงการแพทย์ทั่วโลก ที่จะต้องเตรียมรับมือกับไวรัสกลายพันธุ์ ที่จะกระจายกันไปหลากหลายประเทศ
 
บริษัทวัคซีน ต่างก็เร่งผลิตวัคซีนต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ มาฉีดกระตุ้นเป็นเข็มสาม ต่อจากวัคซีนป้องกันสายพันธุ์เดิมที่ฉีดไปแล้ว 2 เข็ม ในทำนองเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
 
แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นภาระกับประชากรทั่วโลกเพราะความจำเป็นในการฉีดวัคซีนเข็มสามเพื่อควบคุมป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ ดูจะใกล้เข้ามาทุกที
 
ถ้ารัฐบาลประเทศต่างๆ ร่วมกับบริษัทผลิตวัคซีนยักษ์ใหญ่ จะเห็นว่าการระบาดของโควิด-19 เป็นเรื่องร่วมกันของมนุษยชาติ ที่จะเยียวยาได้รวดเร็วกว้างขวางและทั่วถึง โดยเฉพาะประเทศยากจน
 
การยกเลิกสิทธิบัตรยาหรือวัคซีน ให้แต่ละประเทศสามารถผลิตได้ ก็จะเป็นแนวทางที่ทำให้เห็นความรักของเพื่อนมนุษย์ร่วมกัน ว่าสำคัญกว่ากำไรหรือเงินปันผลของบริษัทยาในระบบธุรกิจทุนนิยมครับ
 
Reference
 
 
ขอบคุณที่มา : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย : https://www.blockdit.com/posts/60a921269d23ac0ff8ea9ebf



Visitors: 1,380,180