แคนาดา เยอรมัน พักการใช้วัคซีน AstraZeneca ในคนอายุน้อยกว่า 55-60 ปี

แคนาดา เยอรมัน พักการใช้วัคซีน AstraZeneca ในคนอายุน้อยกว่า 55-60 ปี
 
 
จากที่สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวว่าหลายประเทศในยุโรป ระงับการใช้วัคซีน AstraZeneca ชั่วคราว เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยรายงานว่าเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ตามที่ต่างๆหลังจาก
ฉีดวัคซีนตัวนี้ไป ตอนนั้นอังกฤษ รวมถึงแคนาดา ก็ออกมาบอกว่าใช้ต่อไป เนื่องจากเชื่อว่าไม่เกี่ยวกัน
 
 
ตอนนี้ข้อมูลมีมากขึ้นบ้าง หลังจากไปศึกษากันมา ก็พบว่าไม่แน่นะ อาจจะเกี่ยวก็ได้ แต่เป็นอุบัติการณ์ที่พบน้อยมาก ถามว่าน้อยแค่ไหน ตอนนี้ที่มีข้อมูลคือ 1:125,000 -1:1,000,000 นั่นเอง (ที่ตัวเลขต่างกันเพราะอ้างอิงคนละประเทศ ยังไม่มีใครรวมข้อมูลทั่วโลก) แต่จากการสังเกตพบว่า พบบ่อยกว่าในผู้หญิง ที่อายุน้อยกว่า 55 ปี 
นั่นเอง
 
 
 
โดยตอนนี้ เรียกภาวะที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนว่า VIPIT (vaccine induced prothrombotic immune thrombocytopenia) โดยเชื่อว่า เมื่อฉีดวัคซีนไป
เกิดการกระตุ้นภูมิต้านทานร่างกาย ภูมิที่เกิดขึ้นบางส่วนหน้าตาคล้ายกับเกล็ดเลือดของเรา ส่งผลให้เกล็ดเลือดเกาะตัวรวมกันเป็นก้อนใหญ่ ไปอุดตามที่ต่างๆของร่างกาย
 
 
 
จริงๆ ก็มีโรคที่เกิดแบบนี้ เราเรียกว่า Heparin induced thrombocytopenia หรือHIT ซึ่งเกิดขึ้นหลังให้ยา heparin ไป (ตอนนี้ที่เชื่อคือ VIPIT น่าจะมีกลไกคล้ายๆ HIT)
 
 
 
ทีนี้อาการนั้น ก็ขึ้นกับว่า มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นที่ไหน
- ในปอด ก็จะมีอาการเจ็บหน้าอกแปล๊บๆ หายใจไม่อิ่ม เหนื่อย
- ในท้อง ก็จะปวดท้องรุนแรง
- ที่ขา ก็จะเกิดอาการขาบวมข้างเดียว
- ในเส้นเลือดสมองก็จะเกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง ไอ จาม เบ่ง แล้วปวดมากขึ้น หรืออาจจะเป็นอ่อนแรงซีกเดียวแบบ Stroke ก็ได้
- กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ซึ่งจะเห็นว่า อาการนั้นขึ้นกับตำแหน่งที่ลิ่มเลือดไปอุดนั่นเอง
 
 
 
แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยทั่วไป จะเกิดประมาณ 4-20 วันหลังฉีดวัคซีน ดังนั้น ใครที่ได้รับ Astrazeneca vaccine ไปแล้วก็ให้สังเกตอาการตนเองที่บ้านด้วย
 
 
 
ตอนนี้บ้านเราทยอยฉีดไปบ้างแล้ว ทั้งในกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงทุกอายุ
 
 
 
วันนี้ก็มีข่าวพระเสียชีวิต (อายุ 71) หลังฉีดวัคซีนได้วันเดียว ซึ่งเท่าที่อ่าน ก็บอกยากว่าเกิดจากวัคซีนหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ผลข้างเคียงเบาๆ ที่เกิดขึ้น พบหลังฉีดไม่นาน ก็จะมีคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ไข้ขึ้น อ่อนเพลีย ซึ่งพบได้บ่อยกว่า Sinovac (และดูจะพบเยอะกว่า ในคนอายุน้อยๆด้วย)
 
 
 
เอาเรื่องนี้มาพูด เพราะคิดว่ารบ.คงไม่ว่าไรมาก แต่อยากให้เข้าใจ การจะมองว่าควรฉีดไม่ควรฉีด ก็คือดูความเสี่ยงของการเกิดโรค VIPIT กับความเสี่ยงที่เราจะติดโควิด 
เพราะอย่างประเทศอังกฤษ ที่บอกว่าเค้ารอดจาก 3rd wave ก็เพราะฉีดวัคซีนไปเยอะแล้ว (จริงๆ UK นี่ใช้ Astrazeneca เยอะสุดในโลกเลยด้วยซ้ำ) ดังนั้น ถ้าวันนี้มี
คนมาถามเรื่องนี้ หมอก็คงตอบอยู่ดีว่า ถ้าเสี่ยงก็ฉีด เพราะโอกาสเกิด VIPIT มันไม่ได้สูงมากนัก แล้วถ้าเกิดจริงๆ ก็มักรักษาได้อีกด้วย
 
 
 
ขอบคุณที่มา : หมอสายดาร์ค 

Visitors: 1,380,180