2 วัคซีนที่ฉีดให้คนไทย มีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร

2 วัคซีนที่ฉีดให้คนไทย มีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร?

2 วัคซีนที่ฉีดให้คนไทย มีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร
 
ตอนนี้ในเมืองไทยมีแค่สองวัคซีน "แอสตร้าเซนเนก้า" พัฒนาจากไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงหรือไม่สามารถแบ่งตัวได้มาตัดแต่งพันธุกรรม ส่วน"ซิโนแวค" นำเชื้อโควิด-19 มาทำให้ตาย ทั้งสองชนิดสร้างภูมิคุ้มกันได้ แต่มีผลข้างเคียงไม่มากก็น้อย

  ประเด็นที่ใครหลายคนอยากรู้ก่อนลงทะเบียนฉีดวัคซีน คงหนีไม่พ้นเรื่องสองยี่ห้อวัคซีน อย่าง ‘แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca)’ และ ‘ซิโนแวค (Sinovac)’ ที่ถูกถามถึงกันไม่เว้นแต่ละวัน ว่า ‘ประสิทธิภาพ’ รวมถึง ‘ผลข้างเคียง’ ที่เกิดขึ้นจะคุ้มครองได้แค่ไหน 

 

  • วัคซีนโควิด-19 มีกี่ชนิด

 นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ ที่ปรึกษาผู้จัดการความเสี่ยง โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลกับเราว่า วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคโควิด 19 ทั้งหมดในปัจจุบัน มีอยู่ 4 ชนิดหลัก ๆ โดยแบ่งจากเทคนิคที่ใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด 19 ได้แก่

 - mRNA vaccines หรือวัคซีนชนิดสารพันธุกรรม เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เคยใช้กับการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคอีโบล่า วัคซีนชนิดนี้จะใช้สารพันธุกรรมของโควิด-19 หรือเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) เข้าไปกำกับการสร้างโปรตีนส่วนหนาม (spike protein) และทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 ออกมา โดยมี BioNTech/Pfizer และ Moderna เป็นสองยี่ห้อที่ใช้เทคโนโลยีนี้

 

162028059948

  

 - Viral vector vaccines หรือวัคซีนชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ พัฒนาโดยการนำไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงแล้ว หรือไม่สามารถแบ่งตัวได้อีก มาตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นพาหะ แล้วฝากสารพันธุกรรมของโควิด-19 เข้าไป ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา

ซึ่งเทคนิคนี้เป็นวิธีที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี เนื่องจากเลียนแบบการติดเชื้อที่ใกล้เคียงธรรมชาติ โดยมีวัคซีนจาก Johnson & Johnson, Sputnik V รวมถึง ‘Oxford – AstraZeneca’ ที่ผลิตจากเทคนิคนี้

Protein-based vaccines หรือวัคซีนที่ทำจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ ไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2)  โดยการนำเอาโปรตีนบางส่วนของโควิด-19 เช่น โปรตีนส่วนหนาม มาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ ก่อนฉีดเข้าร่างกาย แล้วนำมาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ

เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ใช้กันมานานแล้ว เพราะเป็นเทคนิคที่ใช้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนตับอักเสบชนิดบี ซึ่ง Novavax เป็นหนึ่งยี่ห้อที่ใช้เทคนิคนี้ในการผลิต

 - Inactivated vaccines หรือวัคซีนชนิดเชื้อตาย เป็นการผลิตขึ้นจากการนำเชื้อโควิด-19 มาทำให้ตายด้วยสารเคมีหรือความร้อน ก่อนฉีดเข้าร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส เทคนิคนี้ผลิตได้ค่อนข้างช้า และต้นทุนสูง เนื่องจากต้องผลิตในห้องปฏิบัติการนิรภัยระดับ 3 ซึ่งเจ้าที่ใช้เทคนิคนี้คือ Sinopharm และ ‘Sinovac’


 162028063891

  • ผลข้างเคียงที่เจอ

เมื่อรับรู้ถึงที่มาที่ไปของเทคนิคที่ใช้ในการผลิตวัคซีนในแต่ละชนิด ความคาดหวังต่อมาคงหนีไม่พ้นปัจจัยด้านความเสี่ยง หรือ ‘ผลข้างเคียง’ ที่ดูจะมีหลายอาการจน

น่าสับสัน ซึ่งจริงๆ แล้วผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่


ผู้มีผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักมีอาการร่วมกัน อย่าง จุดปวด บวม แดง คัน หรือช้ำ ตรงจุดฉีดวัคซีน, อาการคลื่นไส้ - มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รวมถึงรู้สึกอ่อนเพลีย

และไม่สบายตัว ซึ่งเป็นผลข้างเคียง “ชนิดไม่รุนแรง” ที่พบแทบในวัคซีนทุกชนิด


“ประเด็นที่คนไทยกำลังกังวลคือ ข่าวผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะภาวะลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า” โดย “สำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA) 

ประกาศว่าวัคซีนชนิดนี้ อาจมีความเชื่อมโยงกันกับภาวะดังกล่าว หลังมีรายงานว่ามีผู้ป่วยภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก”


  “แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับโลกรายงานตรงกันว่า หากเทียบสัดส่วนประชากรที่รับการฉีดแล้ว ภาวะดังกล่าวมีสัดส่วนเกิดขึ้นต่ำมาก 

เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว หลายฝ่ายจึงให้ข้อสรุปว่า การเดินหน้าฉีดวัคซีนเพื่อลดโอกาสเสียชีวิตจากโควิด-19 จะมีประโยชน์มากกว่าการระงับใช้วัคซีนไปเลย

 

ส่วนอีกหนึ่งที่กำลังเข้าสู่ประเทศไทยหลักล้านโดส อย่าง ซิโนแวค แม้ล่าสุดจะถูกเอ่ยถึงอาการข้างเคียงคล้ายอัมพฤกษ์ ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติทางระบบประสาท

ชั่วคราว แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนในหัวข้อดังกล่าว

ด้วยรายงานต่างๆ นานา ของทั้ง แอสตร้าเซนเนก้า และ ซิโนแวค อาจจะยากหน่อยที่จะยกวัคซีนทั้งสองให้เป็นเสมือนความหวังของประเทศไทย

แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วทั้งคู่ต่าง ก็เป็นวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลกแล้ว มีการอนุมัติใช้แล้วในหลายประเทศ และยังผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการ

อนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย อย่างถูกต้อง


รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์ด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ให้ข้อมูลวัคซีนทั้งสองชนิดว่า “ในประเทศไทย จะใช้ แอสตร้าเซนเนก้า ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

 บริเวณต้นแขนรวม 2 โดส ห่างกัน 10-12 สัปดาห์


และหลีกเลี่ยงการฉีดให้กับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก ส่วน ซิโนแวค จะฉีดให้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี บริเวณต้นแขนรวม 2 โดสเช่นกัน แต่ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ และยกเว้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ระบาดรุนแรง จะต้องฉีดห่างกัน 2 สัปดาห์เท่านั้น”


 “ประเทศไทยเริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงทั้ง 4 ไปแล้ว ซึ่งประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า, ผู้มีโรคประจำตัวหรือโรคกลุ่มเสี่ยง, ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งหลังจากมีการนำเข้าวัคซีนมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เริ่มดำเนินการวางแผนงาน

ฉีดวัคซีนให้คนทั่วไป กับโรงพยาบาล 1,500 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงโรงพยาบาลพระรามเก้า ผ่านแพลตฟอร์ม หมอพร้อม


  แพลตฟอร์ม “หมอพร้อม” เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน LINE Official Account ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป อีกทั้งยังเปิดให้ประชาชนได้ศึกษาวิธีใช้งาน รวมถึงรายละเอียดที่ต้องแจ้ง ผ่านทางเว็บไซต์ https://หมอพร้อม.com อีกด้วย

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/936370?utm_source=grf-eng&utm_medium=partner&utm_campaign=giraff.io

 

Visitors: 1,403,299