วิธีหนีภาวะ BURNOUT SYNDROME หรือ ภาวะหมดไฟทำงาน หันเข้าหาสังคมช่วยได้

วิธีหนีภาวะ “BURNOUT SYNDROME” หรือ “ภาวะหมดไฟทำงาน” หันเข้าหาสังคมช่วยได้

 

Burnout Syndrome หรือ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” โรคยอดฮิตของหนุ่มสาวออฟฟิศในยุค Now Normal อันมีสาเหตุหลักมาจากความเครียดในสถานที่ทำงาน สังเกตุอาการง่ายๆ คือ เหนื่อยล้า หมดพลังกายและใจ หมดความเชื่อมั่นในตนเอง และประสิทธิภาพการทำงานน้อยลง

เมื่อปี 2562 องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประกาศให้ Burnout Syndrome เป็นภาวะทางสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลรักษา และเป็นภาวะที่กำลังจะเกิดในสังคมคนเมืองและคนรุ่นใหม่มากขึ้น ซึ่งภาวะหมดไฟหรือหมดแรงบันดาลใจในการทำงานนี้ งานวิจัยของต่างประเทศระบุว่าอาจส่งผลให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ในระยะยาว และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 2 ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากต่อปี ภาวะหมดไฟจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป 

วิธีแก้ภาวะหมดไฟ มีหลากหลายแนวทาง ทั้ง "ยอมรับในความแตกต่าง" , "อย่าหักโหมงาน" , "อย่าเอางานกลับบ้าน" รวมไปถึง “การออกกำลัง” หรือ "พักผ่อนให้เพียงพอ" แต่การมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ย่อมควบคู่ไปกับการมีสุขภาพจิตที่ดี ซึ่งเป็นความสุขอย่างสมบูรณ์แบบที่ทุกคนต่างปรารถนา การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบข้างจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในการใช้ชีวิตให้มีความบาลานซ์ ดังนั้นแนวทางที่จะช่วยเพิ่มพลังบวกให้เรามีสุขภาพจิตที่แจ่มใสขึ้นในทุกวัน คือ การหันเข้าสังคม หรือ "การเข้าร่วมกิจกรรมในสังคม" (Social Participation) จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยคลายเครียดได้

วิธีหนีภาวะ “BURNOUT SYNDROME” หรือ “ภาวะหมดไฟทำงาน” หันเข้าหาสังคมช่วยได้

ผลสำรวจเกี่ยวกับภาวะ Burnout Syndrome หรือ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” พบว่า ประโยชน์ของคนที่ได้รับจากการเข้าร่วมทำกิจกรรมต่างๆ 

  • 47% ต้องการบรรเทาความเหงาและความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้น
  • 39% เพื่อช่วยบำบัดรักษาสุขภาพทางจิตให้แจ่มใส ไม่เกิดความเครียดจนนำไปสู่อาการของโรคซึมเศร้า หรือเกิดภาวะเบื่อหน่ายจนทำให้มีความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงในการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน

วิธีหนีภาวะ “BURNOUT SYNDROME” หรือ “ภาวะหมดไฟทำงาน” หันเข้าหาสังคมช่วยได้ Photo : FreePikสำหรับ “กิจกรรมการเข้าสังคม” มีหลากหลายอย่างให้เลือกทำ เพื่อเป็นแนวทางในการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดที่กำลังเผชิญ ซึ่งเมื่อย้อนไปดูข้อมูลของวิทยาลัยการจัดการมหิดล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้เก็บผลสำรวจวิธีคลายเครียด 3 ลำดับแรก (ข้อมูลการสำรวจช่วงปลายปี 2562) ของกลุ่มคนวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร พบว่า

 

  • ผู้ชายส่วนใหญ่ เลือกที่จะเล่นเกมส์ ออกกำลังกาย ใช้โซเชียลมีเดีย
  • ผู้หญิงส่วนใหญ่ เลือกที่จะพูดคุยกับเพื่อน ใช้โซเชียลมีเดีย พูดคุยกับครอบครัว
  • กลุ่ม Baby Boomer เลือกที่จะออกกำลังกาย สวดมนต์ การพูดคุยกับครอบครัว
  • กลุ่ม Gen X เลือกการใช้โซเชียลมีเดีย การพูดคุยกับเพื่อน การพูดคุยกับครอบครัว
  • กลุ่ม Gen Y เลือกการใช้โซเชียลมีเดีย การพูดคุยกับเพื่อน การพูดคุยกับครอบครัว
  • กลุ่ม Gen Z เลือกการใช้โซเชียลมีเดีย การฟังเพลง การพูดคุยกับครอบครัว
  • กลุ่มคนไฟแรง เลือกใช้ การพูดคุยกับครอบครัว การออกกำลังกาย และการใช้โซเชียลมีเดีย


ดังนั้น หากคุณคิดว่า ตัวเองกำลังทรมานจากความเหนื่อยหน่าย การลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหมดไฟคือการเลือกใช้กิจกรรมที่เหมาะสม และไม่มากจนเกินไป ก็จะมีส่วนช่วยผ่อนคลายความเครียดและเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้กลับมามีไฟกันอีกครั้ง

 

ทำไมการเข้าหาสังคม ถึงอาจช่วยลดภาวะ Burnout Syndrome หรือ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” ได้

1.  ความรู้สึกมีส่วนร่วมนั้นช่วยทำให้มีความสุข
GEN HEALTHY LIFE มองว่าการมีความเชื่อมโยงกันระหว่างความรู้สึกมีส่วนร่วมและความสุขที่มากขึ้นอยู่ รวมไปถึงปัญหาสุขภาพจิตที่ลดลง ซึ่งรวมไปถึงการลดลงของความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า

2.  การทำกิจกรรมต่างๆ จะช่วยลดความเครียด
ผู้ที่เล่นกีฬาประเภททีมอยู่เป็นประจำมักไม่ค่อยมีความเครียดมากนัก ในขณะที่การศึกษาหนึ่ง ผู้เข้าร่วม 4 ใน 5 คนพบว่าการใช้เวลากับงานอดิเรกนั้นมีประสิทธิภาพปานกลางหรือสูงในการจัดการกับความเครียด

3.  การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้
การวิจัยชี้ให้เห็นว่าใน 80% ของผู้เรียน การมีทักษะใดๆ ก็ตามจะช่วยพัฒนาความมั่นใจในตัวเองและการนับถือตัวเองได้ ซึ่งทำให้ผู้เรียนเหล่านั้นรู้สึกมีพลังขึ้นมาและสามารถเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชีวิตได้

4.  ลดความเหงาลง ลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงได้
ความเหงามีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของโรคหัวใจที่เพิ่มขึ้น 29% และความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองที่เพิ่มขึ้น 32% โดยการจะกำจัดความรู้สึกโดดเดี่ยวทางสังคมออกไปและมอบความรู้สึกมีส่วนร่วมให้แก่คนอื่นๆ ได้นั้น การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะเรื้อรังบางชนิดได้

วิธีหนีภาวะ “BURNOUT SYNDROME” หรือ “ภาวะหมดไฟทำงาน” หันเข้าหาสังคมช่วยได้ Photo : FreePik5.  การยิ้มช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
มาค้นหาความสนุกสนานในชีวิตประจำวันของคุณด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนสิ เมื่อคุณยิ้ม สารสื่อประสาทจะหลั่งออกมาเพื่อลดระดับความเครียดและช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณได้ต่อสู้กับแอนติเจนและโรคติดต่อต่างๆ

6.  การได้ติดต่อพูดคุยอยู่เสมอสามารถชะลอภาวะสมองเสื่อมได้
การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย (Meaningful activity) อาจช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ นอกจากนี้ ผู้ที่ชอบเข้าสังคมดูเหมือนจะมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้น้อยกว่า

อย่าลืมว่าการรักษาภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือแม้แต่เกิดอาการเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ หากเกิดขึ้นแล้วต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู และมีการปรับเปลี่ยนที่ยั่งยืนในรูปแบบการดูแลสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ แต่หากทำทุกวิธีแล้วยังไม่สามารถกลับเข้าสู่สภาวะปกติที่ควรจะเป็นได้ หรือมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิต เพื่อรับคำปรึกษาและการดูแลที่เหมาะสม



Visitors: 1,405,371