|
สะเทือนทั่วโลกเลยทีเดียว เมื่อ Cloudflare (คลาวด์แฟลร์) ล่ม ส่งผลให้เว็บไซต์ทั่วโลกที่ใช้ระบบดังกล่าวใช้ไม่ได้ทั้งหมด


Cloudflare (คลาวด์แฟลร์) คืออะไร? บริการ Cloudflare คือ ผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Web Application Firewall) เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากผู้ไม่ประสงค์ดีบนอินเทอร์เน็ต และบริการเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วจากทั่วโลก (Content Delivery Network หรือ CDN) รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้เข้าชม (Vistor) และ ที่เก็บข้อมูล (Server) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความรวดเร็วในการเปิดหน้าเว็บไซต์ โดยปกติแล้วการโหลดหน้าเว็บขึ้นมาโดยใช้อินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกข้อมูลและส่งข้อมูลไปกลับระหว่างคอมพิวเตอร์กับเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แต่เซิร์ฟเวอร์มักมีทรัพยากรในการรับส่งข้อมูลจำกัด ทำให้เมื่อเราเปิดหน้าเว็บขึ้นพร้อมกันหลายแท็บ จะทำให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกิดการโหลดหน้าเว็บได้ช้าและเว็บล่ม ด้วยเหตุนี้ Cloudflare จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดปัญหาเซิร์ฟเวอร์ทำงานหนัก โหลดช้า เว็บล่ม และมีคุณประโยชน์ในการเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกชั้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการแฮกเซิร์ฟเวอร์หรือถูกโจมตี ทำให้ Cloudflare โดดเด่นในบริการด้าน CDN
Content Delivery Network หรือ CDN บน Cloudflare คือ? CDN คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่กระจายคอนเทนต์บนเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อ ไปยังเครือข่ายรอบโลกภายในเวลาอันรวดเร็วและใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด โดยจะทำการรวบรวม Content พวกรูปภาพ วิดีโอ ตัวอักษร บนเว็บไซต์หรือแอปของเรา จัดเก็บเป็น Cache File และกระจายออกไปยังจุดต่างๆ ทั่วโลก ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็จะโหลดเว็บได้เร็วขึ้น เพราะสามารถส่งข้อมูลจากจุดที่ใกล้ที่สุดไปให้ผู้ใช้ได้ และไม่ต้องใช้ทรัพยากรของเครื่อง Server หลักที่เราใช้
ประโยชน์หลักๆ ของ Cloudflare - โหลดเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น - ลดการเกิดเว็บไซต์ล่ม - ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าเว็บไซต์ของเราได้อย่างรวดเร็ว - ประหยัดค่าแบนด์วิดท์ของเซิร์ฟเวอร์ - ป้องกันการโจมตีมายังเว็บเซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Layer 3, 4, 7 รวมไปถึงการโจมตีแบบ DDoS - ป้องกันสแปมบอท (Spam Posting) มายังเว็บไซต์ - ปรับความเร็วเว็บไซต์ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างครบวงจร - เป็นผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำระดับโลกที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ
เมื่อ Cloudflare "ล่ม" เกิดผลกระทบอะไรบ้าง?

และอย่างที่รู้กันว่า Cloudflare เป็นเหมือน "ด่านหน้า" ของเว็บไซต์มหาศาล (ข้อมูลระบุว่าดูแล Traffic ราวๆ 20% ของทั้งโลกอินเทอร์เน็ต) เมื่อเกิดปัญหาระบบล่ม ผลกระทบจึงรุนแรงเป็นลูกโซ่ ดังนี้
1. เว็บไซต์และแอปพลิเคชันเข้าใช้งานไม่ได้ กระทบที่เห็นชัดที่สุด ผู้ใช้จะเจอหน้าจอ Error 500 หรือ 502 Bad Gateway เพราะเบราว์เซอร์พยายามเชื่อมต่อผ่าน Cloudflare แต่ "ด่านหน้า" ไม่ตอบสนอง ทำให้ไปไม่ถึงเซิร์ฟเวอร์จริง
2. API พัง (Backend Failure) ไม่ใช่แค่หน้าเว็บ แต่บริการเบื้องหลัง (Backend) ของแอปมือถือจำนวนมากเรียกใช้ API ผ่าน Cloudflare เมื่อระบบล่ม แอปธนาคาร, แอปสั่งอาหาร หรือระบบล็อกอิน อาจจะใช้งานไม่ได้ แม้หน้าตาแอปจะเปิดขึ้นมาได้ปกติก็ตาม
3. ผลกระทบเชิงธุรกิจ (Business Impact) จะมีผลกระทบมากมายเช่น - เว็บ E-commerce ที่ล่มไป 1 ชั่วโมง อาจหมายถึงยอดขายหายไปหลายล้านบาท
- ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าเป็นที่ Cloudflare แต่จะโทษว่า "แอปนี้ห่วย" หรือ "เว็บนี้ล่มบ่อย" - แพลตฟอร์มเทรดคริปโตฯ หรือหุ้น มักใช้ Cloudflare เพื่อความปลอดภัย หากล่มในช่วงตลาดผันผวน ย่อมเกิดความเสียหายต่อนักลงทุน
4. ช่องโหว่ความปลอดภัยชั่วคราว หากระบบป้องกันล่ม (WAF Down) แฮกเกอร์อาจฉวยโอกาสนี้โจมตีเซิร์ฟเวอร์ต้นทางโดยตรง (ถ้าทราบ IP จริง) แต่โดยปกติ Cloudflare ออกแบบมาให้ "Fail Closed" คือถ้าพังก็ตัดการเชื่อมต่อเลย เพื่อความปลอดภัยมากกว่าจะปล่อยให้ Traffic รั่วไหล
การที่โลกอินเทอร์เน็ตพึ่งพาบริการจากผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Cloudflare (หรือเจ้าอื่นๆ อย่าง AWS, Google Cloud) ช่วยยกระดับมาตรฐานเว็บให้เร็วและปลอดภัยขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็สร้าง Single Point of Failure (จุดตายจุดเดียว) ขึ้นมา
ผู้ใช้บริการ Cloudflare - องค์กรหรือหน่วยงานที่ธุรกิจหลักอยู่บนเว็บ เช่น E-commerce, Online business - หน่วยงานภาครัฐที่มีระบบต่างๆ ให้บริการสำหรับประชาชน และให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของข้อมูลรองรับ Web application ทั้ง on premise และ บน cloud
|