รู้หรือไม่? ทั่วโลกจ่ายเงิน “ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก” สูง 2.4 ล้านล้านUSD/ปี
รู้หรือไม่? ทั่วโลกจ่ายเงิน “ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก” สูง 2.4 ล้านล้านUSD/ปี สนค. เผยข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่ปี2559 – 2578 ทั่วโลกจะมีค่าใช้จ่ายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี พร้อมคาดการณ์ว่า ในปี 2583 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียสแนะตราสารหนี้สีเขียว ทางเลือกส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายส่วนใหญ่ของหลายประเทศในตอนนี้คือ ต้องการก้าวไปสู่ Net Zero ประเทศไทยก็เช่นกัน โดยหนึ่งในประเด็นที่ไทยกำลังโฟกัสอยู่ในขณะนี้ คือการลงทุนสีเขียว ในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่กำลังได้รับความนิยมมากทั้งนักลงทุนชาวไทย และต่างชาติ ล่าสุดสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ศึกษาแนวโน้มการขยายตัวของตราสารหนี้สีเขียว แนะภาครัฐและเอกชนใช้เป็นทางเลือกในการระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันควบคู่กับสนับสนุนการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นความท้าทายของทุกภาคส่วนทั่วโลก มาตรการ กฎเกณฑ์ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับตัว และหาแหล่งเงินทุนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ โดยในรายงาน Global Warming of 1.5°C ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) คาดการณ์ว่า ในปี 2583 อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส จากปี 2564 (19 ปี)
และในช่วงระหว่างปี 2559 – 2578 ทั่วโลกจะมีค่าใช้จ่ายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่ในรายงาน Labelled Bonds for the Net-Zero Transition in South-East Asia: The Way Forward ที่จัดทำโดย World Economic Forum ร่วมกับ ETH Zurich ระบุว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับดำเนินการต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ผอ.สนค. อธิบายว่า ความต้องการเงินทุนสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจของภาคเอกชน ก่อให้เกิดทางเลือกในการระดมทุนสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ได้แก่ ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) หรือตราสารหนี้ที่ระดมทุนเพื่อนำไปใช้ดำเนินโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการพลังงานหมุนเวียน การคมนาคมที่ใช้พลังงานสะอาด การบริหารจัดการขยะ และการสร้างอาคารสีเขียว ทั้งนี้ ตราสารหนี้สีเขียวที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า “พันธบัตรสีเขียว”และตราสารหนี้สีเขียวที่ออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า “หุ้นกู้สีเขียว” ปัจจุบันตราสารหนี้สีเขียวเป็นตราสารหนี้ที่มีโอกาสเติบโตสูง ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย สอดคล้องกับรายงาน Sustainable Debt Market Summary ประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ของ Climate Bonds Initiative ที่ระบุว่า ตลาดตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน (Green, Social, Sustainability and Sustainability-linked Debts) เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการออกตราสารหนี้ครั้งแรกในปี 2550 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ตราสารหนี้สีเขียวทั่วโลกมีมูลค่าสะสมตั้งแต่ปี 2550 ประมาณ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 62 ของตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน
ตัวอย่างตราสารหนี้สีเขียวของต่างประเทศ อาทิ (1) อินเดีย ออกพันธบัตรสีเขียวสำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เพื่อให้อินเดียสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (2) เบลเยียม ออกพันธบัตรสีเขียวเพื่อสนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียว ระบบขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (3) สหรัฐอเมริกา บริษัท Apple ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อระดมทุนสำหรับสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการพลังงานลม (4) แคนาดา ออกพันธบัตรสีเขียวเพื่อนำไปใช้ในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การพัฒนาเครื่องมือดักจับคาร์บอน และ (5) ซาอุดีอาระเบีย บริษัท Saudi Electricity Company ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารสีเขียวและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน
อาทิ (1) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด (2) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมในออสเตรเลีย และโครงการรถไฟฟ้าในไทย (3) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ออกหุ้นกู้สีเขียวเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร (4) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออกพันธบัตรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อ SMEs (SME Green Bond) สำหรับนำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะดำเนินโครงการพลังงานสะอาด และ (5) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI) ออกตราสารหนี้สีเขียวเพื่อระดมเงินทุนสำหรับปล่อยกู้ให้กับโครงการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการผลิต ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถแสวงหาเงินทุนโดยใช้ตราสารหนี้สีเขียวได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
ที่มา : https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/855995
|