โมเดลลดความเหลื่อมล้ำ ฉบับแม่ฟ้าหลวงฯ ปลูกคนรุ่นใหม่ ปั้นพลเมืองดี
เปิดโมเดลลดความเหลื่อมล้ำคนไทย ฉบับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สร้างโอกาสทางการศึกษากับคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ห่างไกล เรียนรู้ภาษาไทย ไม่ถูกเอาเปรียบ พร้อมมีทักษะอาชีพช่วยตัวเอง และเป็นพลเมืองดี พัฒนาประเทศคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา กรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวกับคณะสื่อมวลชนในขณะลงพื้นที่โรงเรียน จากความแตกต่าง-ห่างไกล ของเด็กที่อยู่บนดอยและที่ราบ สิ่งสำคัญของการสร้างคนนั่นคือการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำให้แคบลง ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังช่วยสร้างโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะสามารถเรียนรู้ภาษาจนสามารถเข้าถึงโอกาสในการดำรงชีวิต พร้อมทั้งปกป้องสิทธิพื้นฐานของตนเองและครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยเรื่องการศึกษาภาษาไทยของเยาวชนในพื้นที่ และมีรับสั่งให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ส่งเสริมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ ให้สามารถอ่าน-เขียนภาษาไทย และให้เด็ก
ประเด็นสำคัญของการออกแบบการเรียนการสอนของโรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ เน้นการเรียนการสอนที่แตกต่างจากหลักสูตรสามัญของเด็กนักเรียนในเมือง โดยปรับปรุงหลักสูตรให้ตรงเป้ากับความต้องการของเด็กในพื้นที่มากที่สุด โดยเฉพาะการเรียนรู้ทักษะอาชีพที่เด็กมีความต้องการ
ปรับระบบการเรียนการสอน Montessori ดร.ศุภโชค ปิยะสันต์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี ระบุว่า กระบวนการสอนแบบ Montessori นับว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบการเรียนการสอน ปัจจุบัน กระบวนการสอนแบบ Montessori ได้ขยายผลออกไปครอบคลุมโรงเรียนทั้ง 8 แห่ง ที่อยู่ในโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย รวมทั้งการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ภาระงานเป็นฐาน (Task Based Learning) ใน 37 โรงเรียน 95 ห้องเรียน เสริมระบบการลงมือปฏิบัติจริง ส่วนเด็กในระดับที่ใหญ่ขึ้นมา คือตั้งแต่ ป.4-6 ได้เสริมระบบการเรียนการสอนแบบ Project-based learning (PBL) นั่นการเรียนรู้ที่ใช้โครงงานเป็นฐานในการเรียนรู้ ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะ การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์มีขั้นตอน 7 ขั้นตอน นั่นคือ
“สิ่งสำคัญของหลักสูตรการเรียนการสอนคือทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ พัฒนาตามศักยภาพตัวเอง โดยในหนึ่งสัปดาห์จะให้เด็กมาเรียนแบบคละชั้น ดร.ศุภโชค ระบุด้วยว่า การจัดการเรียนการสอนแบบนี้ เรียนว่าเป็นการการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการอย่างแท้จริง โดยการจัดการเรียนแบบบูรณาการ กำหนดเอาไว้ 8 คาบเรียนต่อสัปดาห์ เด็กเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ ทดลองทำ นำเสนอ และสร้างเป็นโครงการขึ้นมาในช่วงท้าย
เด็กโตโฟกัสสร้างทักษะอาชีพ นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถเก็บหน่วยกิตสะสมเป็นธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) ก่อนจะนำหน่วยกิตไปต่อยอดการเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ได้ โดยตัวอย่างรายวิชาที่สอน เช่น สาขาวิชาเกษตร วิชาคหกรรม (อาหาร) เพื่อเป็นการเตรียมตัวสู่โลกภายนอก “โจทย์สำคัญของเด็กที่เรียนจบจากที่นี่ คือชั้นม.6 เรียนต่อน้อยมาก ส่วนใหญ่จะทำงานเป็นหลัก การเรียนการสอนจึงเติมความรู้ด้านพื้นฐานอาชีพให้เด็ก และเป็นการเรียนแบบทวิศึกษาด้วย” ปัจจุบัน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กำลังอยู่ระหว่างการส่งเสริมการเรียนการสอนในรูปแบบพิเศษดังกล่าว เพื่อเป็นต้นแบบให้กับอีกหลายโรงเรียน
|