‘โธมัส เมย์น’ ผู้คิดค้น ‘ไมโล’ และตั้งชื่อตามนักมวยปล้ำชาวกรีกที่เลื่องลือเรื่องความแข็งแรง
‘โธมัส เมย์น’ นักเคมีที่หันมาผลิตเครื่องดื่ม ‘ไมโล’ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำในประเทศออสเตรเลีย เขาตั้งชื่อตามนักมวยปล้ำชาวกรีก ผู้ที่โด่งดังเรื่องความแข็งแรง และไม่เคยแพ้ใครในการแข่งขันตามตำนานกรีกโบราณ
ความทรงจำวัยเด็กของเด็กไทยส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกับ ‘ไมโลนมโรงเรียน’ (Traditional School Milo) เพราะรสชาติมันช่างอร่อย เข้มข้น หวาน เย็น ชื่นใจ จนโตขึ้นมาแล้วก็ยังมีคนตามหาสูตรนมไมโลโรงเรียนกันอลหม่าน มีการแชร์สูตรมากมายในโลกโซเชียล ทั้งยังมี (บาง) แบรนด์ ที่คิดค้นเมนูเครื่องดื่มที่รสชาติและความอร่อยใกล้เคียงกับนมไมโลรถโรงเรียน ด้วยความรู้สึกโหยหารสชาตินมไมโลในวัยเด็ก และความรู้สึกแบบนี้ยังคงอยู่ต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้ล่าสุด Nestle เปิดตัวรสชาติใหม่แปะหน้ากล่องขนาด 110 มิลลิลิตรว่า “สูตรรถโรงเรียน” ซึ่งแฟนคลับที่ชื่นชอบทั้งไมโลและไมโลนมโรงเรียนต่างก็คงฟินพากันยิ้มแก้มปริแน่ ๆ
แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าจะเป็น ไมโล หรือแม้แต่ ไมโลที่เป็นสูตรรถโรงเรียนที่ว่านั่น ผู้คิดค้นเครื่องดื่มประเภทนี้จริง ๆ กลับเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ในระยะ 7,554 กิโลเมตรทีเดียว โดยผู้ริเริ่มไมโลขึ้นมาครั้งแรกมีชื่อว่า ‘โธมัส เมย์น’ (Thomas Mayne) วิศวกรเคมีชาวออสเตรเลีย ที่มองเห็นโอกาสในช่วงที่บ้านเมืองกำลังดิ่งลงเหว เพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในออสเตรเลีย ไมโลสูตรแรกเป็นเครื่องดื่มกรุบกรอบ แม้ว่าไมโลในยุคปัจจุบันจะเป็นเครื่องดื่มแบบน้ำนม เป็นของเหลวที่ใช้หลอดดูดขึ้นมาได้ แต่สำหรับไมโลเมื่อ 89 ปีก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ โธมัส เมย์น เป็นวิศวกรเคมี และนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารของ Nestlé ออสเตรเลีย เขาได้พัฒนาสูตรเครื่องดื่มนี้ระหว่างที่กำลังทำงาน และเห็นว่าในช่วงที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้เด็ก ๆ ในออสเตรเลียต้องทุกข์ทรมานจากภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition) เพราะขาดแคลนอาหารดี ๆ ที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
สิ่งที่ โธมัส เมย์น คิดในตอนนั้นก็คือ เขาต้องหาเครื่องดื่มที่มีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย มาทดแทนสารอาหารที่ขาดหายไป ไม่อย่างนั้นอนาคตของเด็กออสซี่มีปัญหาแน่ และที่สำคัญเครื่องดื่มที่ว่านั้นต้องทำมาจากวัตถุดิบท้องถิ่น เพื่อทำให้มีราคาไม่แพง พ่อแม่สามารถซื้อได้ในสถานการณ์แบบนั้น ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เขาครุ่นคิดอยู่กับสูตรเครื่องดื่ม มีการปรับเปลี่ยนส่วนผสมต่าง ๆ และรสชาติค่อนข้างบ่อย เพราะหากรสชาติไม่ดี เด็ก ๆ ก็คงไม่ดื่ม นั่นเท่ากับว่า ความคิดของเขาถูกปัดตก ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าที่อยากจะแก้ไข สิ่งที่เขาตกผลึกได้และนำมาทดลองก็คือ มอลต์ที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์, นมแห้ง และผงโกโก้ โดยมีวิตามินพร้อมแร่ธาตุที่จำเป็นอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้น จะพูดว่าไมโลที่เป็นสูตรดั้งเดิม สูตรแรกที่ได้จาก โธมัส เมย์น ก็คือผงนมรสช็อกโกแลตที่มีความกรุบกรอบเคี้ยวได้ แต่จะต้องนำผงดังกล่าวไปผสมกับน้ำหรือนมก่อน และสามารถดื่มได้ทั้งร้อนและแบบเย็น แต่แล้วเครื่องดื่มประเภทนี้ก็ยังไปไม่สุดทาง เพราะผงไมโลเมื่อนำมาผสมกับน้ำหรือนม แม้ว่าจะละลายรวมกันแต่ยังคงเห็นมอลต์ลอยอยู่เหนือของเหลวเหล่านั้น ซึ่งไม่มีข้อมูลยืนยันว่า โธมัส เมย์น ตั้งใจให้เป็นสูตรนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม โธมัส เมย์น ก็ต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้งเมื่อวันหนึ่ง เขาบังเอิญไปเห็นลูก ๆ ของเขากำลังตักผงกรุบกรอบของเครื่องดื่มไมโลที่ลอยเหนือน้ำอย่างเอร็ดอร่อยในห้องครัวที่บ้าน และครั้งนั้นทำให้เขาถึงบางอ้อว่า ปัญหาของการคิดค้นสูตรไมโลของเขาไม่ได้อยู่ที่รสชาติ หรือ ส่วนผสมเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ feature (รูปแบบ) ของเครื่องดื่มที่เขาคิดด้วย เมื่อ โธมัส เมย์น ปรับสูตรไมโลจนเป็นที่พอใจแล้ว หลังจากนั้นเขาจึงเปิดตัวเครื่องดื่มนี้ครั้งแรกในงาน Sydney Royal Easter Show ในปี 1934 อวดสายตาชาวออสซี่ด้วยกระป๋องทรงกลม ที่มีฝาเปิดด้านบน และเขียนกำกับไว้ว่า MILO Nestlé Tonic Food
มีข้อมูลว่า ไมโลกระป๋องกลมที่เปิดตัวครั้งแรกได้รับเสียงตอบรับอย่างมาก จนหลายแบรนด์ในออสเตรเลียยกย่องให้ Nestlé เป็นแบรนด์ที่สร้างเครื่องดื่มที่มีนวัตกรรมที่น่าสนใจที่สุดยุคหนึ่ง แม้แต่ตัว โธมัส เมย์น เองยังดื่มเครื่องดื่มที่ตัวเองคิดค้นมากับมือวันละ 1 แก้วทุกวัน จนเขาเสียชีวิตในวัย 93 ปี ทั้งนี้ ไมโล เริ่มเข้าสู่ตลาดประเทศไทยในปี 1953 โดยเจ้าของก็คือ บริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด จนปัจจุบันยังคงเป็น 1 ใน 3 แบรนด์ในตลาดเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ของไทย และอยู่แบบนี้มานานแล้ว
ชื่อมาจากนักมวยปล้ำชาวกรีก ส่วนที่มาของชื่อ ‘ไมโล’ เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะผู้เขียนคิดว่ามีนัยยะซ่อนอยู่ และบ่งบอกถึงจุดยืนของแบรนด์นี้ได้ชัดเจน โดยคำว่า ไมโล นั่นมาจากชื่อของนักกีฬาชาวกรีกเป็นตำนานโบราณที่เล่าขานกันมานาน ก็คือ Milo of Croton เขาคือนักมวยปล้ำชาวกรีกที่อาศัยอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งตำนานเล่ากันว่า เขาเป็นนักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยโบราณ ชื่อของเขายังคงเป็นที่พูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา Milo เป็นชนพื้นเมืองที่ได้รับการยกย่องอย่างมากจาก Croton (ปัจจุบันคือ Crotone เมืองในแคว้นคาลาเบรีย ประเทศอิตาลี) ซึ่งเป็นอาณานิคมของชาวอะเคีย (Achaeans) ใช้เรียกชาวกรีกในสมัยไมซีเนียนกรีซ นอกจากนี้ ตำนานยังเล่าอีกว่า Milo ได้นำกองทัพ Crotoniate เข้าต่อสู้ และได้ชัยชนะเหนือ Sybarites ซึ่งเป็นชาวกรีกจาก Sybaris เมืองหลวงของกรีกในสมัยโบราณอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี ประมาณ 510 ปีก่อนคริสตศักราช ในกีฬาโอลิมปิกถึง 6 ครั้ง และ Pythian Games 7 ครั้งด้วยกัน (ทั้ง 2 รายการจัดขึ้นทุก 4 ปี) ส่วนตัวของ Milo ก็คว้าแชมป์กีฬามวยปล้ำในเกมระดับชาติของกรีก ทั้งยังชนะการแข่งขันมวยปล้ำอื่น ๆ อีก 32 รายการ ความแข็งแรงของ Milo ถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมา พร้อมมีการเปิดเผยเคล็ดลับการอึดทนของเขา จากการซุ่มฝึกซ้อมด้วยการแบกลูกวัวเหนือบ่าครั้งแรก ๆ และเพิ่มเลเวลตัวเองด้วยการแบกวัวที่ตัวโตขึ้นเรื่อย ๆ
(ภาพ: greekreporter) ตำนานเกี่ยวกับ Milo ไม่ใช่แค่ความแข็งแรงของร่างกาย แต่ยังหมายถึง ‘จิตวิญญาณ’ ความยึดมั่นสู่ชัยชนะ และการไม่ยอมแพ้ของเขาด้วย ความหมายนี้เองทำให้เครื่องดื่มไมโล ได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อของชายผู้นี้ เพื่อเกิดการจดจำถึงความสร้างพลัง ความแข็งแกร่ง และคำมั่นสัญญา ปัจจุบัน ไมโล เป็นเครื่องดื่มที่มีขายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ Nestlé ซึ่งตลอดการดำเนินธุรกิจ หากนับตั้งแต่ที่มีไมโล ก็เกือบ 90 ปีแล้ว ในฐานะที่ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เคยต่อแถวเข้าคิวดื่มนมไมโลโรงเรียน และชื่นชอบนมช็อกโกแลตมอลต์ จึงอยากหยิบเรื่องราว และต้นกำเนิดของนมไมโลมาฝากชาว The People กันค่ะ
ภาพ: Milo อ้างอิง: ที่มา : https://www.thepeople.co/business/billion-brand/52681 |