5 อาหารโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมากที่สุดในปี 2023
5 อาหารโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมากที่สุดในปี 2023ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความมั่นคงทางอาหารโลกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น อันเนื่องมาจากลักษณะอากาศที่สุดโต่ง ไม่ว่าจะเป็นร้อนขึ้น เกิดคลื่นความร้อนถี่ขึ้น แล้ง ไฟป่า หรือแม้แต่น้ำท่วมหลังเกิดฝนตกหนักผิดฤดูกาลทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบกับผลผลิตทางการเกษตร และในปี 2023 ที่เพิ่งผ่านพ้นมา กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกมา ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรมากมาย และทั้งหมดนี้ คืออาหารโลกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในปี 2023
ข้าว ผลผลิตข้าวในปี 2023 ลดลง อันเนื่องมาจากปัญหาด้านสภาพอากาศที่เจอกันทั่วไปทั้งในเอเชีย สหรัฐฯ และยุโรป โดยตลอดทั้งปี ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น เนื่องมาจากเกิดปรากฏการณ์ลานีญาเมื่อเดือนมีนาคม และตามมาด้วยปรากฏการณ์เอลนีโญในเดือนมิถุนายน นอกเหนือจากนั้น อินเดียยังใช้นโยบายควบคุมข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติในเดือนกรกฎาคม หลังเกิดความกังวลว่าผลผลิตข้าวในประเทศลดลง เนื่องจากฤดูมรสุมล่าช้าออกไปจากปกติ อินเดีย ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ส่งออกข้าวคิดเป็น 40% ของโลกในนี้ แต่หลังผลผลิตข้าวลดลง อินเดียก็ใช้ข้อจำกัดแบนการส่งออกข้าว สิ่งที่ตามมาคือราคาข้าวแพงขึ้นในรอบ 15 ปี ขณะที่ข้าวไทยเองแม้ว่าจะยังส่งออกได้ดี แต่ก็ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้น้ำที่ใช้ปลูกข้าวไม่เพียงพอ โดยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยคาดการณ์ไว้ว่า ไทยมีโอกาสเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ผลผลิตข้าวนาปีอาจได้รับความเสียหายมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าปริมาณฝนรวมของทั้งประเทศในช่วงฤดูฝนปี 2023 จะน้อยกว่าปีก่อนและน้อยกว่าค่าเฉลี่ยราว 5%
องุ่นและไวน์ องค์การองุ่นและไวน์ระหว่างประเทศ หรือ โอไอวี ประเมินว่า ในปี 2023 ผลผลิตไวน์ทั่วโลกต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี โดยผลผลิตองุ่นลดลงประมาณ 7% จากเมื่อปี 2022 เช่นในประเทศชิลี ผู้ผลิตไวน์รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคซีกโลกใต้ ภัยแล้งและไฟป่า ทำให้ผลผลิตองุ่นลดลง 20% ส่วนในออสเตรเลีย ผลผลิตก็ลดลงราว 1 ใน 4 จากเมื่อปี 2022 เช่นกัน ส่วนในสเปน ผลผลิตองุ่นลดลง 14 % ในอิตาลี เก็บเกี่ยวองุ่นได้น้อยถึง 12% อันเนื่องมาจากฝนที่ตกผิดฤดูกาล น้ำท่วม พายุลูกเห็บและภัยแล้ง ในบางภูมิภาค ยิ่งได้รับผลกระทบหนักมากกว่าที่อื่น อย่างในสเปน ผู้ผลิตไวน์รายใหญ่อันดับสามของโลก สภาพอากาศอันเลวร้ายในภูมิภาคอันดาลูเซีย ทางตอนใต้ และภูมิภาคกาตาลุญญา ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผลผลิตทางการเกษตร จนสมาพันธุ์ด้านเกษตรของกาตาลุญญาเตือนว่า ผลผลิตองุ่นในภูมิภาคอาจจะลดลงถึง 60% ในปี 2023
บลูเบอร์รี ในปี 2023 เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงไปทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงฤดูบลูเบอร์รี ในฐานะผู้ผลิตบลูเบอร์รีรายใหญ่ของโลก เปรูได้รับผลกระทบอย่างหนักในปี 2023 ที่ผ่านมาจากคลื่นความร้อน ส่งผลทำให้การผลิตบลูเบอร์รีต้องล่าช้าออกไป และสภาพอากาศเป็นผลทำให้การส่งออกบลูเบอร์รีของชิลีลดลงถึงกว่า 50% สร้างความเป็นกังวลว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัด จะเป็นสาเหตุทำให้ราคาบลูเบอร์รีแพงขึ้น มีการคาดการณ์ว่า สภาพอากาศที่ร้อนจัดนี้จะคงอยู่ไปจนถึงอย่างน้อยฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 ซึ่งสภาพอากาศเช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคที่เพาะปลูกบลูเบอร์รีเป็นหลักในหลายพื้นที่ของประเทศเปรู
มะกอกและน้ำมันมะกอก ในปี 2023 สภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งจัด รวมถึงความชื้นในดินไม่เพียงพอ ในหลายพื้นที่ของเมดิเตอเรเนียน ส่งผลกระทบต่อต้นมะกอก ระหว่างเดือนเมษายนปี 2022 ถึงพฤษภาคมปี 2023 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วไปสูงกว่าปกติถึง 4 องศาเซลเซียสในสเปน ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันมะกอกรายใหญ่ของโลก นอกจากนี้ ปริมาณน้ำฝนที่ลดลงในช่วงหนึ่งปีนั้น ทำให้เกิดภัยแล้ง และส่งผลทำให้ในท้ายที่สุด ผลผลิตน้ำมันมะกอกของสเปนลดลงถึงราว 50% ในที่สุด ราคาของน้ำมันมะกอกก็พุ่งขึ้น และสต๊อกสินค้าน้ำมันมะกอกก็ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ เมื่อราคาน้ำมันมะกอกแพงขึ้น ส่งผลทำให้สินค้าหลากหลายชนิดแพงตาม เช่น ปลาซาร์ดีนในน้ำมันมะกอกที่บรรจุในกระป๋อง
มันฝรั่ง ผลการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Climate ชี้ว่า มันฝรั่งก็เป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่เผชิญภัยคุกคามร้ายแรงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยผลผลิตทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะลดลง 18-32% ในช่วงระยะเวลา 45 ปีข้างหน้า ถ้าหากว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เกษตรกรในยุโรปกำลังเผชิญกับผลกระทบดังกล่าวแล้ว โดยในปี 2023 ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักนำไปสู่ปัญหาเก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่งได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ในสหราชอาณาจักร ขณะที่เกษตรกรในฝรั่งเศสและเบลเยียมก็ประสบปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลทำให้ปีที่ผ่านมา ราคามันฝรั่งในยุโรปปรับตัวสูงขึ้น ส่วนทั่วโลก ในโบลิเวีย ซึ่งก็มีการเพาะปลูกมันฝรั่งเป็นจำนวนมาก ฝนที่มาช้ากว่าฤดูกาล ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง โดยก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน โบลิเวีย รวมถึงประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้ ต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ “โดมความร้อน” ที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
ที่มา : Frobes ที่มา : https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/846684 |