ส่อง 10 เรื่องใหญ่วิทยาศาสตร์ ปี 2566
ส่อง 10 เรื่องใหญ่วิทยาศาสตร์ ปี 2566
(1) สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามรัสเซีย-ยูเครน เริ่มต้นมาตั้งแต่ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 มีแนวโน้มจะยืดเยื้อต่อไปในปี พ.ศ. 2566 และทำให้เกิดความหวั่นวิตกต่อประชาคมโลก เกรงว่าจะลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม และสงครามนิวเคลียร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนยูเครน โครงสร้างพื้นฐาน อาคารที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัยในยูเครนถูกถล่มทำลายอย่างหนัก ก่อให้เกิดการอพยพของประชาชนในยูเครนจากที่อยู่อาศัยของประชาชนในยูเครน และลี้ภัยไปยังประเทศอื่นๆ มากที่สุด ที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศใดๆ ในโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
จากปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซีย ทำให้สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศตะวันตกออกมาตรการ “แซงก์ชัน”(SANCTION) ลงโทษรัสเซีย ทางด้านการเงิน ธุรกิจ การเดินทาง การส่งออกสินค้าพลังงาน สร้างผลกระทบต่อทั้งรัสเซียและประเทศอื่นๆ ด้วย ที่ต้องพึ่งแก๊สธรรมชาติและน้ำมันจากรัสเซีย รวมทั้งผลกระทบต่อเนื่องกับวงการวิทยาศาสตร์ทั้งของโลกและรัสเซีย รัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรประมาณ 143 ล้านคน ยูเครนเป็นประเทศเล็ก มีประชากรประมาณ 43 ล้านคน กองทัพรัสเซียมีกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่ายูเครนมาก รัสเซียเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดในโลกปัจจุบัน ส่วนยูเครนเคยมีอาวุธนิวเคลียร์มากเป็นอันดับสามของโลก แต่ได้ยกเลิกการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด หลัง “ข้อตกลงร่วมกันบูดาเปสต์” (BUDAPEST MEMORANDOM) เมื่อ พ.ศ. 2537 ลงนามโดยผู้นำสามประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และรัสเซีย เพื่อรับประกันความมั่นคงของประเทศยูเครน โดยความสนับสนุนด้านอาวุธและด้านอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยุโรปและนาโตแก่ยูเครน ทำให้สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อตลอดปี พ.ศ. 2565 และมีแนวโน้มจะยืดเยื้อต่อไปในปี พ.ศ. 2566 เนื่องจากรัสเซีย เป็นประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์อันดับหนึ่งของโลก และประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศจะใช้อาวุธมีผลสูงเชิงยุทธศาสตร์ถ้าจำเป็น ทำให้เกิดความหวั่นกังวลต่อการลุกลามเป็น “สงครามโลกครั้งที่สาม” และ “สงครามนิวเคลียร์” ซึ่งถ้าเกิดขึ้นก็จะไม่มีประเทศใดที่ “ชนะ” เพราะทุกประเทศที่เกี่ยวข้องจะ “แพ้” กันหมด
(2) โควิด-19 เป้าหมายสูงสุด วัคซีนสากลปลายปี พ.ศ. 2565 โลกได้ผ่อนคลายจากการระบาดใหญ่ (PANDEMIC) ของโควิด-19 มาเป็นโรคประจำถิ่นที่ต้องเฝ้าระวัง (ENDEMIC) ในปี พ.ศ. 2566 โลกก็ยังต้องเฝ้าระวังโควิด-19 กันต่อ แต่เป้าหมายที่เด่นขึ้นมาคือ การแสวงหาวัคซีนสากล ( universal vaccine) ที่จะป้องกันไวรัสโคโรนาได้ทุกชนิด SPONSORED ประเทศไทยได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ยกเลิกโควิด-19 จากการเป็นโรคติดต่ออันตราย มาเป็นโรคติดต่อประจำถิ่น ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ประเทศต่างๆ หลายประเทศทั่วโลก ได้ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่อประจำถิ่นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับประเทศไทย จากสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายลงมาก และการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันร่วม แต่องค์การอนามัยโลก (WHO:World Health Organization) ยังคงเตือนถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถึงแม้จะลดความรุนแรงลงและจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศส่วนใหญ่ลดลงไปมาก ก็ยังมีอีกหลายประเทศยากจน ที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีนโควิด-19 ความสนใจใหญ่สำหรับโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2566 จะโฟกัสที่วัคซีนประเภทวัคซีนสากลหรือวัคซีนรวม ที่จะป้องกันไวรัสโคโรนาได้ทุกชนิด นักวิทยาศาสตร์ได้ถอดรหัสจีโนมของไวรัสโคโรนา ตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 เริ่มต้นและได้ออกใช้งานอย่างรวดเร็ว แต่ไวรัสโคโรนาก็กลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการวิจัยและพัฒนาวัคซีนใหม่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเป้าหมายใหม่การวิจัยและพัฒนาวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนา มีความหวังกันว่า จะไม่ยากและยาวนานเท่ากับกรณีของไข้หวัดใหญ่และโรคเอดส์ ซึ่งนับเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ก็ยังไม่มีวัคซีนสากล สำหรับไข้หวัดใหญ่และโรคเอดส์ แต่กรณีของไวรัสโคโรนา ดูจะไม่กลายพันธุ์เก่งเท่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ และจึงหวังกันว่า จะไม่ต้องรอเวลายาวนานเท่ากรณีของไข้หวัดใหญ่และโรคเอดส์ กลุ่มคณะนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยดุก (DUKE UNIVERSITY) สหรัฐอเมริกา กล่าว (ตามรายงานของสำนักข่าว BBC เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565) ว่า อาจจะได้เห็นวัคซีนสากลแรกสำหรับไวรัสโคโรนาเร็วที่สุดในปี พ.ศ. 2566 (3) กล้องโทรทรรศน์อวกาศแรกของจีนปลายปี พ.ศ. 2566 ประเทศจีนมีแผนจะส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศแรกของจีนขึ้นสู่อวกาศ เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศเต็มตัวขนาดใหญ่ ไปโคจรในอวกาศคู่กับสถานีอวกาศของจีน
เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 จีนได้ส่งกล้องโทรทรรศน์เพื่อสำรวจดวงอาทิตย์ ชื่อ เอเอสโอ-เอส (ASO-S : Advanced Space - Based Solar Observatory) หรือ เกาฟู-1 (KAUFU-1) ไปโคจรอยู่ในอวกาศที่ระดับความสูง 720 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลก เกาฟู - 1 จึงเป็นกล้องโทรทรรศน์ ของจีนที่ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศแล้ว แต่เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศมีเป้าหมายเฉพาะสำหรับการศึกษาดวงอาทิตย์
กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล มีกระจกรับแสงขนาด 2.4 เมตร ใหญ่กว่าของซุนเทียน แต่นักวิทยาศาสตร์จีนกล่าวว่า กล้องโทรทรรศน์อวกาศซุนเทียนมีกล้องถ่ายภาพ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก และเห็นได้กว้างกว่าของฮับเบิลมากถึง 300 เท่า เปรียบฮับเบิลเห็นแกะหนึ่งตัว แต่ซุนเทียนจะเห็นแกะได้หลายพันตัว โดยจะเห็นรายละเอียดของแกะแต่ละตัวได้เท่ากับที่ฮับเบิลเห็น องค์การอวกาศแห่งชาติจีน ซีเอ็นเอสเอ ( CNSA : Chinese National Space Administration ) กำหนดแผนจะส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศซุนเทียนขึ้นสู่อวกาศในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 และกล้องจะเริ่มทำงานจริงในปี พ.ศ. 2567 มีอายุการทำงานงานประมาณ 10 ปี ภารกิจหลักของกล้องโทรทรรศน์อวกาศซุนเทียนคือ สำรวจท้องฟ้าให้ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาทำงาน 10 ปี และมีเป้าหมายจำเพาะ นอกเหนือไปจากการสำรวจอวกาศและจักรวาลโดยทั่วไปแล้ว ก็จะเจาะศึกษาสสารมืด ( Dark Matter ) พลังงานมืด ( Dark Energy ) การกำเนิดและวิวัฒนาการของกาแล็กซีด้วย กล้องโทรทรรศน์อวกาศซุนเทียน จะถูกส่งขึ้นไปโคจรอยู่ในอวกาศ ประกบคู่กับสถานีอวกาศเทียนกง ที่ระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 380 กิโลเมตร โดยไม่ประกบติดกับสถานีอวกาศ แต่สามารถจะเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศได้ตามความจำเป็น
(4) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่เพื่อคนตาบอดปี พ.ศ. 2566 อาจจะยังไม่เห็นความแพร่หลายของการใช้เทคโนโลยีเพื่อคนตาบอดมากเท่าที่อยากเห็นกัน แต่จะมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ ดังเช่น การใช้คลื่นเสียงแทนแสงให้ติดตามกัน สำหรับคนมีปัญหาในการใช้สายตา ดังเช่น สายตาสั้น สายตายาว ต้อตากระจก ในปัจจุบันมีวิธีการแก้ไขและรักษาที่ได้ผล ดังเช่น การใช้แว่นตา การผ่าตัดต้อตากระจกด้วยเลเซอร์ แต่สำหรับคนตาพิการถึงระดับบอด ก็ได้มีความพยายามในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลายชนิดเพื่อช่วยคนตาบอด ได้มีการทดลองตาไบโอนิกกับผู้มีปัญหาด้านสายตามาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด และมีการผลิตออกใช้กับคนตาบอดจริงๆ บ้างแล้ว โดยในสหรัฐอเมริกา ตาไบโอนิกแรกที่ได้รับการรับรองให้ใช้ เมื่อปี พ.ศ. 2563 คือ อาร์กัส 2 (Argus II) เป็นแบบยังต้องฝังอิเล็กโตรดเข้าไปในตา ประกอบด้วยกล้องจิ๋วติดที่แว่นตา ส่งสัญญาณแสงไปที่อิเล็กโตรนฝังอยู่ในเรตินา กระตุ้นเซลล์ของเรตินาให้ส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าไปตามเส้นประสาทตาสู่สมอง แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงทั้งสำหรับงานการวิจัยและพัฒนา และการใช้กับคนป่วยจริง ทำให้ตาไบโอนิกยังไม่ก้าวหน้าและออกใช้งานจริงมากเท่าที่อยากเห็นกัน แล้วก็มีความก้าวหน้าในวิธีการใหม่ๆ เพื่อคนตาบอดให้เห็นได้ ที่กำลังได้รับความสนใจมาก เป็นวิธีการใช้คลื่นเสียงแทนคลื่นแสง แบบเดียวกับการใช้คลื่นเสียงในการถ่ายภาพอัลตราซาวนด์ของทารกในครรภ์มารดา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 มีรายงานจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย (University oF Southern California) ความสำเร็จครั้งแรก ในการใช้คลื่นเสียงส่งสัญญาณภาพอักษร "ซี" (C) กับหนูตาบอด และโดยการใช้อิเล็กโตรดจับคลื่นการทำงานของสมองส่วนการมองเห็น พบว่า สมองของหนูก็ได้เห็นภาพรางๆ ของอักษร "ซี" ในปี พ.ศ. 2566 อาจจะได้เห็นรายงานความก้าวหน้าเพิ่มเติมจากนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย และที่อื่นๆ เกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีช่วยคนตาบอด ด้วยคลื่นเสียงแบบอัลตราซาวนด์และอื่นๆ โดยนักวิทยาศาสตร์ที่เซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ตั้งเป้าหมายสูงสุดเป็นคอนแทคเลนส์ ช่วยให้คนตาบอดมองเห็นได้ด้วยคลื่นเสียงอย่างง่ายๆ ดังเช่น คอนแทคเลนส์ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
(5) ความหวังจาก "คอป 28" ที่ดูไบการประชุม"คอป 27" ( COP 27 ) ที่ประเทศอียิปต์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 จบลงด้วยข้อตกลงสำคัญที่สุด คือ การชดเชย "ความสูญเสียและความเสียหาย" ( Loss and Damge ) แก่ประเทศยากจนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แล้วการประชุม "คอป 28" ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในปี พ.ศ. 2566 จะคาดหวังอะไรที่สำคัญได้บ้าง? COP ( Conference of Parties : การประชุมภาคีสมาชิก ) เป็นกระบวนการฝ่ายปฏิบัติการของ UNFCCC ( United Nations Framework Convention On Climate Cange : กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) จัดประชุมใหญ่ทุกปี ตั้งแต่ครั้งแรก (COP 1) พ.ศ. 2538 ยกเว้น พ.ศ. 2563 (จากการแพร่ระบาดของโควิด-19) "คอป" เป็นการประชุมใหญ่ของผู้นำโลกเพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโลกร้อน ผลงานสำคัญที่รู้จักกันดี มีเช่น "พิธีสารเกียวโต" (Kyoto Protocol จาก คอป 3 พ.ศ. 2540) และ "ความตกลงปารีส" (Paris Agreement จากคอป 21 พ.ศ. 2558) จากคอป 27 ที่ประเทศอียิปต์ มีผลการประชุมสำคัญที่สุด เรียก "Loss and Dage" เพื่อจัดตั้งกองทุนและดำเนินการในการชดเชยความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดกับประเทศยากจน จากภาวะโลกร้อนที่สาเหตุใหญ่มาจากประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่เรียกร้องกันในการประชุมที่ผ่านๆ มาหลายปี แต่เพิ่งจะได้รับความเห็นชอบเป็นมติออกมาอย่างเป็นทางการ สำหรับการประชุมคอป 28 ที่นครดูไบ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-12 ธันวาคม 2566 ถูกจับตามองว่า จะ "จริงจัง" หรือ "ได้ผล" แค่ไหน เพราะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศที่เศรษฐกิจผูกพันอยู่กับเชื้อเพลิง ฟอสซิลหรือน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นเหตุใหญ่ที่สุดของภาวะโลกร้อน
แต่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนในการช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนและการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องตลอดมาเป็นเวลาหลายปี ได้แสดงความตั้งใจและ "เสนอตัว" เป็นผู้จัดการประชุม "คอป 28" ในการประชุม "คอป 26" พ.ศ. 2564 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ และได้รับอนุมัติในที่สุด เป็นเจ้าภาพจัดคอป 28 สำหรับความคาดหวังจากการประชุมคอป 28 ใหญ่ๆ ก็จะเป็นประเด็นที่ยังค้างต่อเนื่องกันมา และข้อตกลงที่มีการลงมติให้ "มีขึ้น" แต่ยังไม่สมบูรณ์สำหรับปฏิบัติการจริงๆ ดังเช่น ผลจากคอป 27 เรื่อง "ความสูญเสียและความเสียหาย" ที่ยังมีประเด็นและรายละเอียดแหล่งที่มาของกองทุนและการบริหารจัดการ
(6) อีซาส่งยานสำรวจหาสิ่งมีชีวิตที่ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี
เดือนเมษายน พ.ศ.2566 องค์การอวกาศยุโรป อีซา (ESA) กำหนดแผนจะส่งยาน "จูส"(JUICE) ไปสำรวจดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์น้ำแข็งสามดวงของดาวพฤหัสบดี เพื่อสำรวจหาร่องรอยหลักฐานของสิ่งมีชีวิต จากการสำรวจดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีมาก่อน พบว่า ดวงจันทร์สามดวงคือ เจนีมีค, กัลลิสโตและยูโรปา เป็นดวงจันทร์ปกคลุมด้วยน้ำแข็งและมีร่องรอยหลักฐานว่า มีน้ำอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งปกคลุมผิวดวงจันทร์ทั้งสามดวงเป็นปริมาณมาก
จากความรู้และประสบการณ์ของมนุษย์ว่า ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นก็มักจะมีสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ อีซาจึงกำหนดแผนจะส่ง ยานจูส (JUICE : Jupiter Icy Moons Explorer) ออกเดินทางขึ้นจากโลก ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 แล้วยานจูสก็จะเดินทางต่อโดยอาศัยแรงเหวี่ยงจากแรงดึงดูดของโลก ดวงจันทร์และดาวศุกร์ ถึงแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี โดยจะถึงและสำรวจดาวเคราะห์น้อย 223 โรซา (223 Rosa) เดือนตุลาคม พ.ศ. 2572
จาก 223 โรซา ยานจูสจะเดินทางต่อจนกระทั่งถึงดาวพฤหัสบดีเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2574 จากนั้นก็จะสำรวจศึกษาดวงจันทร์น้ำแข็งทั้งสามดวง พร้อมๆ กับการสำรวจดาวพฤหัสบดี โดยในช่วงสุดท้าย ยานจูสจะอยู่ในวิถีโคจรรอบเจนีมีค เพื่อสำรวจศึกษาเจนีมีคอย่างละเอียดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2577 จนกระทั่งถึงปลายปี พ.ศ. 2578 ขณะที่เชื้อเพลิงของยานจูสใกล้จะหมด จูสก็จะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายคือ ศึกษาเจนีมีคละเอียดขึ้น จนกระทั่งตกลงสู่เจนีมีค
ยานจูสมีอุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์หลายชนิด เพื่อศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดของดาวพฤหัสบดี เพื่อศึกษาดวงจันทร์น้ำแข็งทั้งสามดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจนีมีค ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับแผ่นน้ำแข็งปกคลุมพื้นผิวดวงจันทร์และน้ำภายใต้พื้นผิวน้ำแข็ง ที่คาดว่ามีมากถึงระดับเรียกเป็นมหาสมุทรใต้ผิวน้ำแข็ง เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายใหญ่ว่า โอกาสจะมีสิ่งมีชีวิตกำเนิดและดำรงอยู่ได้บนดวงจันทร์น้ำแข็งทั้งสามดวงของดาวพฤหัสบดีนั้นมีมากน้อยแค่ไหน?
อีซา เริ่มต้นดำเนินโครงการยานจูสสำรวจดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์น้ำแข็งของดาวพฤหัสบดีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555
(7) นาฬิกาวันสิ้นโลก ปี 2566
จับตาการปรับตั้งนาฬิกาวันสิ้นโลก (Doomsday Clock) ครั้งใหม่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ปัจจัยใหญ่ที่จับตากันคือ ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
นาฬิกาวันสิ้นโลก เริ่มแสดงเวลานับถอยหลังสู่ภัยพิบัติใหญ่ระดับวันสิ้นโลกคือ เที่ยงคืน เมื่อ 75 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2490) การปรับตั้งเวลาใหม่ที่ใกล้เที่ยงคืนมากที่สุดคือ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 ที่เวลา 100 วินาทีถึงเที่ยงคืน
ปัจจัยแรกเริ่มของการปรับตั้งเวลาใหม่ของนาฬิกาวันสิ้นโลก คือ การคุกคามจากภัยนิวเคลียร์ ต่อมามีการเพิ่ม การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยที่สอง ต่อมาอีกก็มีการเพิ่มอีกสองปัจจัยคือ วิทยาศาสตร์ชีวภาพและเทคโนโลยีใหม่ ประเภทสร้างความปั่นป่วน (disruption) แก่มนุษย์
การปรับตั้งเวลาใหม่ (เป็นเวลาใหม่จริงๆ หรือคงเวลาเดิม เป็นภารกิจของ คณะกรรมการบริหารของ The Bulletin Of The Atomic Scietists (จดหมายข่าวของนักวิทยาศาสตร์อะตอม) ซึ่งจะประชุมและมีมติปรับตั้งเวลาใหม่ในเดือนมกราคมของทุกปี
สำหรับปี พ.ศ. 2566 ปัจจัยด้านลบที่จะทำให้นาฬิกาวันสิ้นโลกถูกปรับเข้าใกล้เวลาหายนะใหญ่คือ เที่ยงคืนมากขึ้นก็จะเป็นปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ยังห่างไกลจากเป้าหมายสูงสุดคือ การป้องกันมิให้อุณหภูมิบรรยากาศของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสก่อนยุคการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม และปัญหาจากเทคโนโลยีใหม่ประเภทดิจิทัล
แต่ปัจจัยใหญ่ที่สุดคือ ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ถึงปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อต่อไปอีกใน พ.ศ. 2566
เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ห้าผู้นำประเทศอาวุธนิวเคลียร์คือ จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย มีแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อป้องกันสงครามนิวเคลียร์และยุติการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ มีสาระสำคัญว่า "จะไม่มีประเทศผู้ชนะสงครามนิวเคลียร์ และสงครามนิวเคลียร์จะต้องไม่เกิดขึ้น"
แถลงการณ์ร่วมนี้ มีส่วนสำคัญช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของประชาคมโลกและเชื่อกันว่า มีส่วนทำให้นาฬิกาวันสิ้นโลกของปี พ.ศ. 2565 ไม่ถูกขยับเข้าใกล้เที่ยงคืนมากขึ้น
แต่เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้เกิดขึ้นและยืดเยื้อต่อๆ มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการทดลองขีปนาวุธมีขีดความสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็กได้ และคำสั่งของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน "ให้กองกำลังนิวเคลียร์อยู่ในสภาพพร้อมสำหรับปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" ก็ทำให้ความผ่อนคลายเมื่อต้นปี พ.ศ.2565 กลับมา "ตึงเครียด" ขึ้นอีกครั้งตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2565 และก็ต้องจับตาดูกันว่า นาฬิกาวันสิ้นโลกที่จะปรับตั้งเวลาใหม่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 จะเป็นอย่างไร ?
(8) ทีมนาซากับผลการศึกษายูเอฟโอ
ทีมนาซาเพื่อการศึกษายูเอฟโอ ได้เริ่มต้นทำงานกันแล้วเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 จับตาดูผลการศึกษาที่นาซาคาดว่าจะแล้วเสร็จตามเป้าหมายและเปิดเผยผลการศึกษาต่อสาธารณชนประมาณกลางปี พ.ศ. 2566 จากประกาศของนาซา ตั้งทีมงานเพื่อศึกษา "ปรากฏการณ์ในอากาศที่อธิบายไม่ได้" หรือ "Unidentified Aerial Phenomena: UAP" ที่สื่อโดยทั่วไปเรียกกันเป็นทีมงานศึกษายูเอฟโอ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 ตามมาด้วยการประกาศรายชื่อทีมงานศึกษายูเอฟโอทั้งหมด 16 คน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 นาซา ได้รายงานว่า ทีมงานทั้งหมด ได้เริ่มต้นทำงานกันแล้วในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565 มีกำหนดเวลาการทำงานเก้าเดือน ด้วยงบประมาณไม่เกินหนึ่งแสนดอลลาร์
ทีมงานทั้งหมด 16 คน มี เดวิด สเปอร์เกล (David Spergel) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เป็นหัวหน้าทีมตามประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน คณะทำงานคนอื่นๆ ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์, ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์, ปัญญาประดิษฐ์, ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง, นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และอดีตมนุษย์อวกาศของนาซา
นาซา แถลงสาเหตุการตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาว่า ปรากฏการณ์ในอากาศที่อธิบายไม่ได้ มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยในอากาศ (air safety) นั่นคือ เป้าหมาย มิได้มุ่งเจาะหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องของยูเอฟโอกับมนุษย์ต่างดาวเป็นหลัก
แต่นาซาก็กล่าวว่า เป้าหมายของโครงการก็เพื่อรวบรวมข้อมูลรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ในอากาศที่อธิบายไม่ได้ให้มากที่สุด (ยกเว้นรายงานที่ "ลับ" หรือ " classified") จากทั้งรายงานของทางการและเอกชน เพื่อการวางแผนสำหรับการศึกษาต่อไปอย่างให้เป็นระบบและให้คำตอบที่เปิดกว้างมากขึ้น
นาซา กล่าวว่า ผลการศึกษาของทีมงานพิเศษนี้ น่าจะแล้วเสร็จตามเป้าหมายประมาณกลางปี พ.ศ. 2566 และผลการศึกษาจะเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป
อย่างแน่นอน สำหรับคนทั่วไป ก็คาดได้ว่า จะรอรายงานผลการศึกษาของทีมงานพิเศษนี้ ในส่วนที่จะบอกอะไรได้ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว
(9) คณะทัวร์ดวงจันทร์เที่ยวแรก
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ยูซากุ มาเอะซาวะ (Yusaku maezawa) ประกาศรายชื่อบุคคล 8 คน ที่จะร่วมเดินทางไปดวงจันทร์กับเขา ในโครงการ "เดียร์มูน" (dearMoon) กับยานอวกาศสตาร์ชิป (starship) ของสเปซเอกซ์ (SpaceX) กำหนดการเดินทางในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงและไม่มีใครตัดหน้าก่อน ก็จะเป็นการเปิดทัวร์ครั้งแรกสู่ดวงจันทร์ มีนักน้องดัง ทอป หรือ ที.โอ.พี.(T.O.P.) แห่งเคป๊อปบอยแบนด์ "บิ๊กแบง" เป็นคนดังร่วมเดินทางไปด้วย
ยูซากุ มาเอะซาวา เป็นนักธุรกิจแฟชั่นชาวญี่ปุ่น ได้ทำสัญญากับบริษัท สเปซเอกซ์ ของอีลอน มัสก์ เมี่อ ปี พ.ศ. 2561 ที่จะนำคณะท่องเที่ยวรวม 9 คน ไปดวงจันทร์ โดยเขาจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด โดยทุกคนจะเป็นผู้ทำงานทางด้านศิลปะแขนงต่างๆ และประกาศเจตนารมณ์ของโครงการ "เดียร์มูน" ว่า เพื่อ "ศิลปะและสันติภาพ"
การเดินทางของคณะทัวร์จะใช้เวลาทั้งหมดประมาณหนึ่งสัปดาห์ เข้าใกล้ดวงจันทร์มากที่สุดที่ระดับ 200 กิโลเมตรจากพื้นผิวดวงจันทร์
ยูซากุ มาเอะซาวา ปัจจุบันอายุ 47 ปี มีสถานะเป็นโสด เขาเคยประกาศระหว่างการเตรียมการคัดเลือกผู้เข้าร่วมทัวร์ดวงจันทร์ว่า เขาตั้งใจจะคัดเลือกคนที่จะเป็น "คู่ชีวิต" คนใหม่ของเขา เพื่อร่วมเดินทางไปทัวร์ดวงจันทร์ด้วย แต่ล่าสุด เขาได้ประกาศว่า ล้มเลิกความคิดเรื่องนี้แล้วเพราะ "ซับซ้อนเกินไป"
อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงต้องลุ้นกันว่า ทัวร์เดียร์มูนจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ในปี พ.ศ. 2566 หรือไม่ เพราะถึงขณะนี้ ยานอวกาศสตาร์ชิปของสเปซเอกซ์ที่จะนำคณะเดียร์มูนไปดวงจันทร์ ก็ยังไม่ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ จาก FAA (Federal Aviation Administration) หรือสหพันธ์บริหารการบินสหรัฐฯ
(10) อาชญากรรมไซเบอร์
โควิด-19 ทำให้ผู้คนแทบทุกอาชีพรวมถึงนักเรียนนักศึกษา ต้องทำงานหรือศึกษาทางออนไลน์อยู่กับบ้าน ซึ่งมีข้อมูลชัดเจนว่า อาชญากรรมคอมพิวเตอร์หรือ อาชญากรรมไซเบอร์ เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วโลก มาปี พ.ศ. 2566 ความเกรงกลัวโควิด-19 ที่ลดลงไปมาก ทำให้ผู้คนและนักเรียนนักศึกษา กลับเข้าทำงานที่สำนักงานและศึกษาที่สถาบันการศึกษาเช่นเดิม (ยกเว้นคนที่ "ติด" กับวิถีการทำงานใหม่ทางออนไลน์) ก็ต้องจับตาดูกันว่า สถานการณ์ของอาชญากรรมไซเบอร์ ในปี พ.ศ. 2566 จะเป็นอย่างไร?
จากปี พ.ศ. 2562 ถึงปี พ.ศ. 2564 ตามข้อมูลจากศูนย์การร้องเรียนอาชญากรรมอินเทอร์เน็ต (Internet Crime Complaints Center) ของสหรัฐอเมริกา ความเสียหายจากอาญากรรมไซเบอร์ในสหรัฐเพิ่มจาก 3,500 ล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 4,200 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2563 และเป็น 6,900 ล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งก็สอดคล้องกับสถานการณ์การทำงานทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี พ.ศ. 2563 และผลสืบเนื่องต่อมาปีใน พ.ศ. 256
สำหรับประเทศไทย สถิติจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 ระบุว่า ชาวไทยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เคยมีประสบการณ์ถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ระหว่างช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา โดย 2 ใน 5 คน หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์ เกิดเป็นความเสียหายเฉลี่ยประมาณ 2,400 บาทต่อคน
และเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กล่าวว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา มีการแจ้งความเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมทางออนไลน์มากถึงประมาณ 1 แสนคดี และมีความเสียหายที่เกี่ยวข้องประมาณ 2 หมื่นล้านบาท อาญากรรมไซเบอร์จึงเป็นภัยร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและจำเป็นจะต้องมีมาตรการทั้งป้องกันและปราบปรามที่เข้มข้นขึ้น
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงสำหรับงานป้องกันปราบปราม สืบสวนและสอบสวนภัยจากอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็น่าสนใจที่จะต้องจับตาดูว่า เมื่อผู้คนและนักเรียนนักศึกษากลับเข้าทำงาน และศึกษาที่สำนักงานและที่สถาบันการศึกษา จะมีผลต่อการแพร่หลายลดลงหรือยังเพิ่มขึ้นต่อไปของอาชญากรรมไซเบอร์
แต่ก็มีคำเตือนอย่าคาดหวังมากว่า เมื่อคนทำงานและศึกษาทางออนไลน์น้อยลง จะทำให้อาชญากรรมไซเบอร์ลดลงไปด้วยอย่างมีนัย เพราะอาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นนานแล้ว ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และแนวโน้มการใช้งานของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มความหลากหลาย และขีดความสามารถ อีกทั้งความซับซ้อนจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล ก็ทำให้การคาดการณ์ในอนาคตยากขึ้น
ที่มา : thairath.co.th
|