โควิด-19 โอมิครอน BA.4 BA.5 คำถาม-คำตอบ
โควิด-19 โอมิครอน BA.4 BA.5 คำถาม-คำตอบเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา "คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ" หรือ FDA แนะนำให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ปรับปรุงสูตรยาสำหรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 2 ภายในเดือนตุลาคม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับการแพร่ระบาด "โอมิครอนสายพันธุ์ BA.4" และ "BA.5" ที่ล่าสุดได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐอเมริกาไปแล้ว โดยล่าสุดจากรายงานของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐฯในช่วงปลายเดือนมิถุนายน มากกว่า 52% เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 (รายงานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า การติดเชื้อของกลุ่มตัวอย่างทั่วโลก เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 55% แล้ว ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา) อย่างไรก็ดี FDA ไม่ได้ต้องการให้มีการศึกษาใหม่เพื่อนำไปสู่การทดสอบในมนุษย์เพียงแต่ให้ยึดวิธีการปรับปรุงสูตรยา เช่นเดียวกรณี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งจะมีการปรับปรุงสูตรทุกปีเพื่อให้ผลในการป้องกันที่ดีขึ้นและยาวนานขึ้น ปัจจุบัน "เรา" รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 บ้างแล้ว? สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 แพร่ระบาดได้เร็วแค่ไหน : หากวัดตาม Basic Reproduction Number (Ro) หรือ ค่าเฉลี่ยจำนวนคนที่อยู่ในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันและไม่เคยสัมผัสกับเชื้อโรคเลย (ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อมาก่อนหน้านี้) สายพันธุ์ดั้งเดิม จะอยู่ที่ 3.3 คน เหตุใดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 จึงแพร่ระบาดได้รวดเร็ว : การลดลงตามธรรมชาติของภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนเมื่อเวลาผ่านไป รวมถึงการที่มีแนวโน้มสูง สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 อาจสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ คือ สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว BA.4 และ BA.5 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้หรือไม่ : แม้จะยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันประเด็นนี้ได้อย่างชัดเจน แต่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ สถาบัน Cold spring harbor laboratory หรือ CSH ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึง นักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้ 3 ชิ้น ซึ่งได้มีการทดสอบด้วยการนำแอนติบอดีที่ได้จากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ก่อนหน้าโอมิครอน มาทำการทดสอบกับ โอมิครอนสายพันธุ์ต่างๆ พบว่า แอนติบอดีดังกล่าว สามารถป้องกัน สายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ได้สูงกว่า สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 หลายเท่า ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จึงเกิดความวิตกกังวลว่า หากโคโรนาไวรัสยังคงสามารถกลายพันธุ์ได้ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดท้ายอาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่ถูกสร้างขึ้นจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อ (ผู้ที่เคยป่วยมาก่อนจากเชื้อตัวเก่า) ความรุนแรงของโรคและการติดเชื้อซ้ำ : องค์การอนามัยโลก ประกาศให้ สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง โดยสาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังเนื่องจาก มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับสายพันธุ์เดลตา (ซึ่งทำให้แพร่กระจายเชื้อได้มากขึ้น) และมีแนวโน้มเรื่องความสามารถในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ ขณะเดียวกันการที่มีแนวโน้มด้วยว่า อาจมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม จึงทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำได้ แม้ว่าจะเคยติดเชื้อ (ภายในระยะเวลา 12 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อครั้งแรก) หรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม หมายเหตุ : รายงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำการเพาะเลี้ยงเซลล์ในห้องปฏิบัติการ พบว่า สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดีกว่า สายพันธุ์ BA.2 และการทำการทดลองในหนูแฮมสเตอร์ พบว่า หนูแฮมสเตอร์มีอาการป่วยรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งตรวจพบสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เป็นประเทศแรกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา รวมถึงข้อมูลจากสหราชอาณาจักร รายงานว่า ยังไม่พบอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะอัตราภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นจากการติดเชื้อก่อนหน้านี้ รวมถึงอัตราภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้น BA.4 และ BA.5 มีผลต่อ LongCovid หรือไม่ : จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่า โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยต่างๆ มีความสามารถที่แตกต่างกันในเรื่องการทำให้เกิดอาการ LongCovid หรือไม่ อย่างไรก็ดีจากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ การฉีดวัคซีนครบสูตรและวัคซีนเข็มกระตุ้น สามารถช่วยหลีกเลี่ยงอาการ LongCovid ได้ การรักษาบางอย่างไม่ได้ผลกับ BA.4 และ BA.5 : BA.4 และ BA.5 สามารถหลบเลี่ยงการรักษาด้วยวิธี โมโนโคลนัลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) หรือ แอนติบอดีที่ถูกสร้างขึ้นจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ออกแบบมาให้มีความจำเพาะต่อการใช้รักษาโควิด-19 อย่างไรก็ตาม การรักษาอื่นๆ เช่น ยาต้านไวรัสแพกซ์โลวิด (Paxlovid) สามารถช่วยลดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อโอมิครอนได้ ประสิทธิภาพวัคซีนในปัจจุบัน : แม้จะมีแนวโน้มว่า สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 อาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า สายพันธุ์ก่อนหน้านี้ รวมถึง วัคซีนในปัจจุบันถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นหลัก แต่ข้อมูล ณ ขณะนี้ ประสิทธิภาพของวัคซีนในปัจจุบัน ยังคงสามารถลดอาการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้
ที่มา : Thairath
|