ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น เราควรถือสินทรัพย์อะไร ?

ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น เราควรถือสินทรัพย์อะไร ?
 
 
 
หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมา คงมีคำถามว่า เราควรจะถือสินทรัพย์อะไรดี ?

เรื่องนี้หลายคนคงคิดถึงเงินสด แต่ความจริงแล้วเงินสดอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป แล้วมันเพราะอะไร

คำว่าสงครามโลก อาจต้องดูก่อนว่าเราอยู่ในประเทศอะไร
1. ประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง
2. ประเทศที่ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง
 
หากเราอยู่ในประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม การถือเงินสดส่วนหนึ่งนั้น อาจถือว่ามีประโยชน์ในฐานะตัวกลางที่มีสภาพคล่อง ในการจับจ่ายใช้สอยสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต แต่ถ้าสงครามกินระยะเวลาอย่างยาวนาน เงินสดจะไม่ได้เป็นแหล่งกักเก็บความมั่งคั่งของเราเอาไว้ได้ เพราะในความเป็นจริง มูลค่าสกุลเงินของประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม จะมีมูลค่าที่ด้อยลงอย่างรวดเร็ว
 
ตัวอย่างที่ชัดเจนตอนนี้เลยก็คือ สกุลเงินรูเบิลของรัสเซียในวันนี้ หากนับตั้งแต่วันที่ปูติน ประกาศเปิดฉากบุกยูเครนแล้ว มูลค่าของเงินรูเบิลเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นได้หายไปแล้วประมาณ 20% เลยทีเดียว 
 
จนเมื่อวาน ประเทศรัสเซียจึงต้องมีการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กว่าเท่าตัว จาก 9.5% เป็น 20% ต่อปี เพื่อรักษาเสถียรภาพ ไม่ให้เงินไหลออกจากประเทศมากเกินไป นอกจากนี้ อีกหนึ่งเหตุผลที่ค่าเงินอ่อนลงของประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสงคราม เป็นผลมาจากการที่รัฐบาล มักจะพิมพ์เงินหรือกู้ยืมเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาใช้จ่ายด้านการทหาร จนทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ทุกมิสไซล์ที่รัสเซียยิง มีค่าใช้จ่าย
ทุกเครื่องบินรบที่รัสเซียใช้ มีค่าใช้จ่าย
ยิ่งสงครามยืดเยื้อ รัฐบาลต้องมีงบประมาณมหาศาล
 
ซึ่งเรื่องดังกล่าว เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่ประเทศเยอรมนีในปี 1923 ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ในขณะนั้น ค่าเงินมาร์คด้อยค่าลง และในประเทศเยอรมนีเกิดเงินเฟ้อสูงถึง 30,000% ซึ่งแปลว่าราคาสินค้าและบริการในช่วงนั้น เพิ่มขึ้นถึง 300 เท่า..
 
คำถามต่อไปก็คือ ถ้าเราไม่ถือเงินสด เราจะถือสินทรัพย์อะไรดีในช่วงสงคราม ?
 
หลายคนอาจนึกถึง สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในวิชาการเงิน ก็คือ “พันธบัตรรัฐบาล” ซึ่งเป็นตราสารที่แสดงความเป็นเจ้าหนี้ที่มีต่อรัฐบาล ซึ่งจะมีการให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยแก่เจ้าของตราสารหนี้
 
ที่บอกว่าความเสี่ยงต่ำนั้น นั่นก็เพราะว่าการที่รัฐบาลจะล้มหรือผิดนัดชำระหนี้นั้นมีโอกาสเป็นไปได้ยากมาก ๆ ในภาวะปกติ แต่หากเป็นรัฐบาลในประเทศคู่ขัดแย้งของสงคราม การก่อหนี้ เพื่อทำสงคราม หรือเพื่อจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามหลังจากพ่ายแพ้สงคราม ก็อาจทำให้รัฐบาลผิดนัดชำระหนี้ได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับหลายรัฐบาลในประวัติศาสตร์โลก
 
พอมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนก็คงนึกถึง “ทองคำ” ที่เรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ประเภท “Safe Haven” มาอย่างยาวนาน
 
ถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์นั้น เมื่อใดที่โลกต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง หรือเข้าสู่ยุคสงครามก็มักจะมีเงินไหลเข้าไปอยู่ในสินทรัพย์อย่างทองคำ
และด้วยความที่ทองคำมีค่าในตัวของมันเอง เป็นสินทรัพย์ที่มีจำกัด ต่างจากธนบัตรที่อาจถูกพิมพ์ออกมาได้ไม่จำกัด ราคาทองคำจึงมักจะมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นทันทีเมื่อมีเหตุการณ์ไม่ปกติ
 
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทองคำจะช่วยรักษามูลค่าของความมั่งคั่งในยามสงครามได้ แต่ก็อาจแปรผันไปตามสภาพอารมณ์ของตลาดในเวลานั้น และเมื่อความกังวลน้อยลง ราคาทองคำก็จะตกลงมา
 
นอกเหนือจากทองคำแล้ว ในยุคนี้หลายคนก็ได้มีการพูดถึงทองคำดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” กันมากขึ้นในฐานะทางเลือกสำหรับกักเก็บความมั่งคั่ง
เพราะด้วยคุณสมบัติที่คล้ายกับทองคำ คือมีอยู่จำกัด แถมยังมีคุณสมบัติเป็นสกุลเงินไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) ที่รัฐบาลแทรกแซงไม่ได้ จึงทำให้ บิตคอยน์ ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก
 
แต่จากสถานการณ์ความขัดแย้งของยูเครนกับรัสเซียล่าสุด ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็อาจจะยังทำให้เราสรุปได้ไม่แน่ชัดว่าบิตคอยน์จะเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมองหาเมื่อเกิดสงครามหรือไม่
 
เพราะในวันที่รัสเซียประกาศบุกเข้ายูเครน มูลค่าทั้งตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้ลดลงตามสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้น มากกว่าจะเคลื่อนไหวตามทองคำ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ก็ได้ปรับตัวขึ้นมา หลังจากที่มีการแบนรัสเซียในการใช้ระบบโอนเงินระหว่างประเทศที่เรียกว่า SWIFT เพราะคนมองว่าคริปโทเคอร์เรนซีจะเป็นทางเลือกในการโอนเงินหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้
 
จากข้อเท็จจริงที่ว่าคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่งเกิดมาได้แค่ 13 ปี สินทรัพย์ประเภทนี้ก็อาจต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองไปอีกสักระยะ ว่าจะรักษามูลค่าได้ดีแค่ไหนในช่วงสงคราม
 
อีกหนึ่งสินทรัพย์ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ “หุ้น” หลายคนอาจคิดว่า ในช่วงภาวะสงคราม เราไม่ควรลงทุนในหุ้นไหนเลย แต่ความจริงแล้วเรื่องของสงครามนั้น อาจไม่ได้กระทบกับทุกบริษัทในแง่ลบเสมอไป
 
สำหรับหุ้นของบริษัทที่ได้รับผลกระทบในทางลบ ก็คงจะเป็นบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงคราม เช่น โรงงานเสียหายจากระเบิด หรือคู่ค้าเป็นประเทศที่ทำสงคราม ทำให้ผิดนัดชำระหนี้ หรือส่งมอบสินค้าไม่ได้
 
ในขณะเดียวกัน หลายบริษัทนั้นกลับได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้ อย่างเช่น
 
- บริษัทที่ค้าหรือผลิตอาวุธสงคราม ที่สามารถสร้างรายได้และกำไรจากการมีอยู่ของสงคราม จนหลายครั้งผู้คนต่างก็ตั้งคำถามถึงต้นเหตุของสงคราม หรือความขัดแย้งในหลาย ๆ สถานการณ์ว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนหรือไม่
 
ยกตัวอย่างบริษัทเหล่านี้ เช่น Lockheed Martin Corporation ธุรกิจผลิตอาวุธสงครามอเมริกัน มีมูลค่าปรับตัวขึ้น +11% ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการรายงานสงครามของยูเครนกับรัสเซียเกิดขึ้น หรืออีกหนึ่งบริษัทอเมริกัน Raytheon Technologies มีมูลค่าเพิ่มขึ้น +10% ในช่วงเวลาเดียวกัน
 
- บริษัทที่ผลิตสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค ที่ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราก็ยังคงจำเป็นต้องใช้อยู่ เช่น ถ้าเกิดสงครามภายในประเทศ สินค้าอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาจกลับกลายเป็นขายดี เพราะประชาชนจะแห่ซื้อมาตุนไว้
 
หรือแม้แต่ในช่วงที่สงครามจบไปแล้วนั้น ประเทศต่าง ๆ ก็ต้องเข้าสู่ช่วงของการฟื้นฟู ซึ่งนั่นจะทำให้หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและรับเหมาก่อสร้าง ได้รับประโยชน์ในการทำให้สภาพทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม 
 
อีกกลุ่มธุรกิจ ที่หลายคนอาจยังคิดไม่ถึงก็คือ ธุรกิจที่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ตามเงินเฟ้อ เช่น ธุรกิจแบรนด์หรู อย่าง LVMH หรือ CHANEL ก็อาจไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนัก ในประเทศที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง
 
ในทางตรงกันข้าม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เมื่อใดก็ตามที่มีการปรับราคาขึ้นไปแล้ว ก็เป็นไปได้ยากที่จะปรับราคาลงมา ส่งผลให้เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อสงครามยุติลง ธุรกิจกลุ่มนี้ ก็มีแนวโน้มที่จะมีกำไรเพิ่มขึ้น
 
สรุปแล้วถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้น เราควรถือสินทรัพย์อะไร ?
 
คำตอบก็คือ เราไม่ควรมีเงินสดในธนาคารมากเกินไป เพราะประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งในสงครามโดยตรง จะเกิดเงินเฟ้ออย่างหนัก และอาจลามไปถึงประเทศอื่น ๆ เช่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากสงคราม ก็อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อที่ตามมาทั่วโลกได้
 
ต่อมาหลายคนอาจเลือกถือทองคำบางส่วนเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ หรือการถือหุ้นของธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามก็เป็นทางเลือกที่ดี
 
ส่วนคริปโทเคอร์เรนซี ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าราคาจะเป็นอย่างไร ตลาดอาจมองว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยง หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะทำให้เงินไหลเข้าคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้นก็เป็นได้ ก็คงต้องคอยติดตามต่อไป
 
แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ถูกวิเคราะห์อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า สงครามเกิดขึ้นแล้วมันจะมีวันสิ้นสุดลง
 
ซึ่งถ้าหากสงครามไม่จบ และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มีหลายประเทศเข้าร่วมสงคราม มีการใช้อาวุธที่มีการทำลายล้างอย่างรุนแรง จนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ฉบับสมบูรณ์
 
ถึงเวลานั้น ความรุนแรงของมันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะไปจบที่ตรงไหนเพราะเทคโนโลยีในยุคนี้ หากเกิดสงครามโลกขึ้นมา มูลค่าความเสียหายจะรุนแรงกว่าสงครามทุกครั้งที่ผ่านมา จนมีคำพูดน่าคิดที่ว่า อาวุธของมนุษย์ในยุคถัดไปต่อจากยุคนิวเคลียร์ ก็คือ ไม้ และก้อนหิน..และในวันนั้น สินทรัพย์ทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็คงจะไม่มีมูลค่าอะไร กลับกลายเป็นว่าข้าวปลาอาหาร ยา และการมีชีวิตรอด จะกลายมาเป็น สินทรัพย์ล้ำค่า ที่คนต้องการมากที่สุด
 
ซึ่งในวันนั้น ปลาทูหนึ่งตัว ก็คงมีมูลค่ามากกว่า กระเป๋าหรูชาแนล เป็นร้อยใบ..
 
 
 
ขอบคุณที่มา : ลงทุนแมน
ติดตามอ่านได้ที่ : https://www.longtunman.com/36394
 
 
 
Visitors: 1,222,154