รู้ไว้ !ก่อนฉีดวัคซีน ผู้ป่วยแต่ละโรค ต้องเตรียมตัวอย่างไร
รู้ไว้ !ก่อนฉีดวัคซีน ผู้ป่วยแต่ละโรค ต้องเตรียมตัวอย่างไร4 มิถุนายน 2564
น่าเสียดายที่การ”ฉีดวัคซีน”เป็นวาระแห่งชาติ แต่ไม่มีคู่มือการฉีดวัคซีนไวรัสโควิดให้ประชาชน ถ้าอย่างนั้นลองเช็คดูว่า บางโรคมีข้อห้าม ข้อยกเว้นอะไรบ้าง(จากความเห็นแพทย์)“เมื่อไม่กี่วัน ไปฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ป้องกันสุนัขบ้า เพราะแมวข่วน ก็เลยถามหมอว่า อีกไม่กี่สัปดาห์ต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดต้องงดวัคซีนป้องกันสุนัขบ้าตอนไหน” “กำลังท้องอยู่ อีกไม่กี่วันต้องฉีดวัคซีน ต้องทำอย่างไร” “ป่วยเป็นความดันโลหิตสูง วันฉีดวัคซีนต้องกินยาไหม” “กินยาซึมเศร้าอยู่ บางข้อมูลก็ให้หยุดยา บางข้อมูลก็บอกว่า ไม่ต้องหยุดยา แล้วต้องเชื่อใคร” ฯลฯ ถ้าไม่รู้จะเชื่อใคร ลองอ่านสรุปข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยแพทย์สาขาต่างๆ มาให้ความรู้ก่อนฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด คนป่วยแต่ละคน ต้องเตรียมตัวอย่างไร
'วัคซีน'กับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง(ไม่มีโรคแทรกซ้อน) -วันเข้ารับวัคซีน ต้องควบคุมความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท -ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัว เช่น กลุ่มผู้สูงอายุต้องรับประทานยาสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ หากมีความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติต้องปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาหรือแผนการรักษา -ภายใน 2-4 ชั่วโมง หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดเมื่อยหรืออ่อนเพลีย -รับประทานยาประจำตัวตามปกติ ยกเว้น หากรับประทานยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือดต้องแจ้งแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน เช่น มีเลือดออกในกล้ามเนื้อบริเวณจุดที่ฉีดยา เกิดการบวม หรือมีรอยช้ำซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยกดบริเวณที่ฉีดวัคซีนให้นานขึ้นเป็นเวลา 5 นาที และสังเกตว่ามีอาการบวมหรือมีรอยซ้ำเกิดขึ้นหรือไม่ -ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรหยุดรับประทานยาประจำตัว เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2564 ................ 'วัคซีน'กับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม การให้ยาเคมีบำบัดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โอกาสติดเชื้อโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านม ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมไม่ควรหยุดให้ยาเคมีบำบัด หากเป็นไปได้ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ครบก่อนเริ่มการรักษา เพราะภายหลังการผ่าตัดและการให้ยาเศมีบำบัด ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะลดลงตามที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นหากยังไม่ได้รับวัคซีนก่อนการรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องเคร่งครัดกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 หากมีข้อสงสัยของการฉีดวัคซีน ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาอยู่ ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2564
'วัคซีน'กับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและระบบประสาท -โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ ยกเว้นผู้ป่วยที่เพิ่งมีอาการหรืออาการยังไม่คงที่สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด (aspirin, clopidogrel, cilostazol) ยาป้องกันเลือดแข็งตัวที่ไม่ใช่ยาวาร์ฟาธิน (dabigatan, ivaroxaban, apixaban,edoxaban) และยาวาร์ฟาริน (หากมีผลตรวจระดับการแข็งตัวของเลือด (INR)อยู่ในระดับต่ำกว่า 4.0 ภายใน 1 สัปดาห์ หรืออยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 มาโดยตลอด) ไม่จำเป็นต้องหยุดหรือปรับขนาดยาก่อนฉีดวัคซีน สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด- 19 ได้ โดยใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก หลังจากฉีดแล้วกดตำแหน่งที่ฉีดไว้นานประมาณ 5 นาที จากนั้นอาจประคบด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็น -โรคลมชัก ผู้ป่วยสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ แต่หลังการฉีดวัคซีน อาจมีใข้ และไข้อาจกระตุ้นให้เกิดอาการชักได้ -โรคระบบประสาทภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้แพทย์ประเมินระยะอาการของโรคและยาที่ใช้อยู่ว่าสามารถฉีดวัคซีนได้หรือไม่ -โรคทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น โรคสมองเสื่อม โรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคเส้นประสาท และกล้ามเนื้อที่เกิดจากพันธุกรรมหรือการเสื่อม ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ข้อมูล ณ วันที่ 2 มิถุนายน 2564 .......................
'วัคซีน'กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคโควิด-19 ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีเนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายมีประสิทธิภาพป้องกันโรคลดลง อาการรุนแรงของโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานจัดเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อติดโรคโควิด-19 จะทำให้มีอาการรุนแรง ดังนั้นควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2564
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/941630
|