อย.สหรัฐฯ (FDA) เตือน! ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งของ Pfizer และ Moderna

อย.สหรัฐฯ (FDA) เตือน! ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งของ Pfizer และ Moderna อาจมีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
 
หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้วราว 22-32 วัน ขณะที่ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมที่รับการฉีดวัคซีน ในสัปดาห์หน้า !!!
 
 
อย.สหรัฐฯ (FDA) เตือน! ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งของ Pfizer และ Moderna อาจมีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้วราว 22-32 วัน ขณะที่ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมที่รับการฉีดวัคซีน ในสัปดาห์หน้า !!!
 
สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท Pfizer Inc และ Moderna อาจมีอาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bells palsy) โดยจากรายงานเปิดเผยว่า อาสาสมัครที่รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของ Pfizer จำนวน 4 ราย
 
จากอาสาสมัครจำนวนทั้งหมด 43,000 ราย มีอาการ Bells palsy หรือใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนต้านโควิดของ Moderna มีอาการดังกล่าวจำนวน 4 ราย จากอาสาสมัครจำนวนทั้งหมด 30,000 ราย เช่นกัน โดยอาการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีนราว 22-32 วัน
 
 
อย่างไรก็ตาม FDA เปิดเผยว่า ในขณะนี้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะระบุว่าอาการดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากการที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แต่ FDA ก็ได้แนะนำให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนควรเฝ้าระวังอาการดังกล่าวด้วย โดยในตอนนี้ทางด้านแพทย์ยังไม่สามารถระบุได้ว่าสาเหตุของของ Bells palsy เกิดจากอะไร แต่คาดว่า เกิดจากอาการบวม หรือการติดเชื้อไวรัสของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อซีกหนึ่งบนใบหน้า
 
 
นอกจากนี้ ทางด้านเจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) เปิดเผยว่า CDC ได้กักวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท Pfizer จำนวนหลายพันโดสในรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐแอละบามา ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่กระบวนการขนส่งวัคซีนผิดปกติปกติทำให้อุณภูมิในการจัดเก็บวัคซีนไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ อยู่ที่ -70 องศาเซลเซียส
 
 
ทางด้านพลเอกกุสตาฟ เปอร์นา หัวหน้าโครงการ Operation Warp Speed ของรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยว่า วัคซีนต้านโควิดดังกล่าวได้ถูกส่งมายังรัฐแคลิฟอร์เนียนั้น จะต้องถูกส่งคืนให้กับบริษัท Pfizer หลังพบว่าอุณหภูมิติดลบไปถึง 92 องศาเซลเซียส โดยทางด้าน CDC, FDA และ Pfizer กำลังพิจารณาว่า ภาวะที่ไม่ปกติดังกล่าวมีความปลอดภัยหรือไม่ และยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าอะไรทำให้อุณหภูมิในการจัดเก็บลดลง
 
 
เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คณะกรรมการที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก ได้จัดการประชุมเพื่อพิจารณาและลงมติการอนุมัติการใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท Moderna Inc เป็นกรณีฉุกเฉิน และหากทางคณะกรรมการฯ ให้การอนุมัติ ก็คาดว่า FDA จะให้การอนุมัติวัคซีนอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
 
 
ก่อนหน้านี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางคณะกรรมการฯ FDA ให้การอนุมัติวัคซีนของ Pfizer Inc ซึ่งนับเป็นบริษัทแรกที่ได้รับการอนุมัติการใช้วัคซีนต้านโควิด-19 จากทาง FDA เป็นกรณีฉุกเฉิน โดยวัคซีนของ Pfizer มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสมากถึง 95% ขณะที่วัคซีนของ Moderna มีประสิทธิภาพราว 94.5% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 และสามารถจัดเก็บไว้ในอุณหภูมิ 36-46 องศาฟาห์เรนไฮต์ นาน 30 วัน
 
 
นอกจากนี้ วัคซีนของ Modern หากมีการจัดเก็บในอุณหภูมิ -4 องศาฟาห์เรนไฮต์ จะสามารถเก็บรักษาได้นานถึง 6 เดือน ถือว่าดีกว่าวัคซีนของ Pfizer ซึ่งจำเป็นต้องจัดเก็บในอุณหภูมิ -94 องศาฟาห์เรนไฮต์
 
 
ทั้งนี้ Moderna ระบุว่า จากการทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 30,000 ราย พบว่า วัคซีนของบริษัทฯ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิดถึง 94.5% ทำให้วัคซีนของ Moderna เข้าใกล้การได้รับอนุมัติจาก FDA ไปอีกขั้น คาดว่าจะมีมติอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย ไม่นานหลังจากนั้น ซึ่งทางด้านเจ้าหน้าที่ของ FDA ก็ไม่ได้มีความกังวลต่อวัคซีนของ Moderna เป็นพิเศษ แต่อย่างใด
 
 
ขณะที่ โรงพยาบาลทั่วสหรัฐฯ เริ่มทำการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัท Pfizer และบริษัท BioNTech ที่ทาง FDA เพิ่งจะอนุมัติให้ใช้ได้เป็นการฉุกเฉินได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ชุดแรก จำนวนกว่า 2.9 ล้านโดส เป็นกลุ่มแรก คือ บุคลากรด้านสาธารณสุข ผู้พักอาศัยและเจ้าหน้าที่ในบ้านพักคนชรา โดยวัคซีนได้ถูกจัดส่งจากโรงงานผลิตของ Pfizer ในเมืองคาลามาซู รัฐมิชิแกน เมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งการแจกจ่ายวัคซีนก็เป็นไปได้ด้วยดี
 
 
ทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศเฉลิมฉลองการเริ่มฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของสหรัฐฯ หลังจากที่เขาได้ผลักดันให้เร่งการพัฒนาวัคซีนด้วย แม้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับภัยอันตรายของโควิด-19 มากเท่าที่ควรก็ตาม
 
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุด คร่าชีวิตผู้คนชาวอเมริกันไปแล้วมากกว่า 3 แสนราย มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 17 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยทางด้าน สตีเฟน ฮาห์น กรรมการของ FDA เผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ชาวอเมริกันกว่า 20 ล้านคน จะได้รับวัคซีนต้านโควิดครั้งแรก ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้
 
 
ทางด้าน โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีกำหนดเตรียมที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในสัปดาห์หน้า ขณะที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังไม่มีกำหนดที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด โดยทางทำเนียบขาวระบุว่า ปธน.ทรัมป์ จะเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิด ก็ต่อเมื่อคณะแพทย์ของเขาแนะนำว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้น
 
 
AFP via Getty Images
 
ส่วนทางด้าน รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ เตรียมเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนชาวอเมริกัน ที่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว หลังจากที่ทางสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท Pfizer และ Moderna อาจมีอาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bells palsy)
 
 
นอกจากนี้ ทางด้านสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NHS) เปิดเผยว่า ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท Pfizer-BioNTech หลังจากมีรายงานว่ามีผู้ที่เกิดอาการข้างเคียงหลังได้รับการฉีดวัคซีน
 
 
Visitors: 1,403,270