บทวิเคราะห์ ความขี้แพ้ชวนตีของ Donald Trump !!

บทวิเคราะห์ ความขี้แพ้ชวนตีของ Donald Trump !!
 
ตอนดึกๆของเมื่อคืน มีการประกาศการนับคะแนนของมลรัฐเพนซิลเวเนียที่ Joe Biden มีคะแนนนำทิ้งห่างจาก Donald Trump อย่างชัดเจน ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป Biden สามารถรวบรวมคะแนนเสียงจากทั่วประเทศได้ทะลุ 270 คะแนนก่อน Trump
 
ผลลัพธ์อย่างไม่เป็นทางการจึงปรากฏออกมาว่า Donald Trump ได้แพ้เลือกตั้งในศึกครั้งนี้ไปโดยอัตโนมัติแล้ว ด้วยคะแนนล่าสุดอยู่ที่ 290 ต่อ 214 (คาดว่าฝั่ง Trump น่าจะได้คะแนนไม่เกิน 230-240 หลังจากผลการนับของทุกมลรัฐออกมา 100% แล้วซึ่งก็แพ้อยู่ดี)
แต่ดูเหมือน Trump จะยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่าใดนัก หากดูจาก Twitter ส่วนตัวของเขา เขายังทวีตข้อความประชดประชันฝั่ง Biden กล่าวหาว่า Biden และพรรค Democrat โกงเลือกตั้งผ่านระบบโหวตทางไปรษณีย์อยู่เลยเมื่อคืนนี้
 
ทำให้หลายๆฝ่ายเริ่มมองว่า Donald Trump นั้นกำลังมีทัศนคติแบบ 'ขี้แพ้ชวนตี' ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง แล้วยังมีการทวีตข้อความแย้งผลเลือกตั้งอีกว่าเขาคือ "ผู้ชนะการเลือกตั้งตัวจริง" โดยอ้างถึงคะแนนกว่า 71,000,000 เสียงที่โหวตให้เขา
 
ผมเห็นประเด็นนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องซุบซิบภายในตระกูลของ Donald Trump อยู่เรื่องหนึ่ง ที่เคยออกเป็นข่าวฉาวหลังหลานสาวคนโตของเขาออกมาแฉเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานี้ โดยการเขียนลงเป็นหนังสือชื่อ 'Too Much and Never Enough'
 
ในหนังสือเล่มนั้น หลานสาวของ Trump ซึ่งเป็นลูกสาวของพี่ชายคนโตของ Trump (Freddy) เขียนวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาเอาไว้ว่า Trump นั้นเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต และเป็นเด็กที่มีปมด้อยขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่สมัยเด็ก ตอนเกิดมาแรกๆแม่ก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย พ่อก็ไม่เคยดูแล (พ่อ Trump เป็นคนบ้างาน)
 
Trump จึงโตมากับคนใช้ พี่เลี้ยง และพี่สาวที่คอยดูแล เอาใจใส่แทนพ่อแม่ ทำให้เขาไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่อย่างเพียงพอ และเมื่อ Trump เริ่มโตขึ้นมาหน่อย เริ่มจำความได้ พ่อของ Trump ก็ให้ความสนใจไปที่พี่ชายคนโตของ Trump มากกว่า
แต่พ่อของ Trump ก็ไม่ค่อยชอบลูกชายคนโตสักเท่าไร เพราะก็ดื้อรั้นไม่ยอมเดินตามเส้นทางที่พ่อขีดไว้ให้ (พ่อ Trump อยากให้พี่ชายคนโตของ Trump โตมารับช่วงต่อทางธุรกิจอาณาจักร Trump แต่พี่ชายของ Trump อยากเป็นนักบิน)
 
จุดนี้จึงกลายเป็นโอกาสและช่องว่างให้ Trump เริ่มมีพฤติกรรมเป็นเด็กเกเร ชอบแกล้งคนอื่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อ ซึ่งพ่อ Trump ก็ดูจะชอบใจไม่น้อย เพราะอย่างน้อย Trump ก็สู้คน และไม่ดูอ่อนปวกเปียกเพ้อฝันอยากจะมีอาชีพรายได้น้อยอย่างนักบินแบบพี่ชายของเขา (พ่อของ Trump เป็นคนที่รังเกียจอาชีพนักบิน และแอร์โฮสเตส โดยจะสอนลูกเสมอว่าอาชีพพวกนี้เหมือนอาชีพคนขับรถเมล์ และกระเป๋ารถเมล์เท่านั้น)
 
พ่อของ Trump มักสอนให้ลูกๆโตมาเป็นผู้ชนะ โตมาเป็นผู้ที่ต้องแข็งแกร่งที่สุด ถ้าลูกทำไม่ได้ตามที่ตนเองต้องการก็จะล้อเลียน และหยามลูก อย่างพี่ชายคนโตของ Trump ก็โดนพ่อล้อเลียนอยู่ตลอดว่ามีความฝันไร้สาระ ทำตัวอ่อนแอ ไม่รู้จักโลกภายนอก อะไรทำนองนี้
การที่พี่ชายถูกพ่อล้อเลียนบ่อยๆ เลยทำให้ Trump ฝังใจ และกลัวจะเป็นอย่างพี่ชายมากๆ จึงเริ่มมีการสร้างกลไกป้องกันตนเองอะไรทำนองนี้ขึ้นมา ทั้งเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้กลายเป็นผู้แพ้ และก็เพื่อที่จะเอาชนะใจพ่อของตนเองด้วย เพราะ Trump อยากให้พ่อรัก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Trump ก็กลายเป็นเด็กซ่า ดื้อ ซน และชอบแกล้งคนที่อ่อนแอกว่ามาตลอด ตอนช่วงมัธยมเขาก็ชอบแกล้งเพื่อนในห้องเรียน ชอบดูถูกผู้หญิง ชอบเอาของเล่นของน้องชายไปซ่อนเพื่อให้น้องชายร้องไห้ Trump ดื้อถึงขั้นที่พ่อเขาต้องส่งเขาไปอยู่โรงเรียนดัดสันดาน ที่โรงเรียนเตรียมทหาร
 
แต่นั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดเมื่อ Trump ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนเตรียมทหาร ก็เลยเจอการปลูกฝังแบบวัฒนธรรมทหาร ใครอ่อนแอก็แพ้ ใครล้มก็จะถูกซ้ำ ทำให้ยิ่งเกิดการตอกย้ำในทัศนคติผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอดภายในจิตใต้สำนึกของ Trump ไปโดยปริยาย
 
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญนี้เลยกลายเป็นช่วงที่ฝึกให้ Trump กลายเป็น "คนแบบนี้" ในปัจจุบันไป หลังจากเขาโตขึ้น เขาจึงกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะคนอื่น ไม่ว่าจะโกงข้อสอบเพื่อที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัยกลุ่ม Ivy League โกงเงินจากบริษัทพ่อตัวเอง (The Trump Management) โกงเงินมรดกจากพ่อตัวเอง เป็นต้น
 
หลานสาวของ Trump วิเคราะห์ว่า ความเป็นคนไม่ยอมแพ้คนอื่น หรือ แพ้ไม่เป็น ของ Donald Trump นี้ ยังแสดงออกมาให้เห็นในอีกหลายๆโอกาสตั้งแต่เด็กจนโตยันแก่นี้ด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง Trump เคยออกไปตกปลากับพี่ชาย และกลุ่มเพื่อนๆของพี่ชาย
 
แต่เขาตกปลาไม่เป็น แค่เหวี่ยงเบ็ดก็ยังเหวี่ยงไม่ถูก พอเพื่อนๆของพี่ชายจะสอนวิธีเหวี่ยงเบ็ดตกปลาให้ Trump ก็รู้สึกเสียหน้า แล้วก็รีบแย่งเบ็ดคืนมาจากมือของเพื่อนพี่ชายอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นก็โชว์วิธีการตกปลาแบบผิดๆให้ดู โดยบอกว่า
 
Trump: "ไม่ต้องมาสอนกู กูรู้ว่าต้องตกปลายังไง"
 
เพื่อนๆของพี่ชาย Trump: "เออ นี่ขนาดมึงรู้นะ มึงยังใช้เบ็ดตกปลาไม่เป็นเลย 5555" (แล้วทุกคนบนเรือก็หัวเราะเยาะ Trump)
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าโน้ตเอาไว้เป็นเกร็ดคือ ถ้าใครสังเกตเห็นวิธีการพิมพ์ข้อความ หรือเขียนหนังสือของ Donald Trump มาบ้าง
 
ในช่วง 4 ปีนี้ น่าจะเห็น wording ที่เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเป็น Trump บ่อยอยู่พอสมควร
มันจะมีคำประเภทที่ว่า 1. Ever
2. The best
3. The most
4. Billions and billions
5. Tremendous
6. Great
อะไรพวกนี้อยู่บ่อยๆ ลองไปค้นใน Twitter ส่วนตัวเขา หรือไม่ก็หา Speech ของ Trump เปิดฟังดูก็ได้ครับ จะได้ยินคำพวกนี้ออกมาบ่อยๆ ใน Youtube มีคนทำเป็นคลิปรวบรวมเอาไว้ล้อเลียนอยู่ ว่า Trump พูดแบบนี้บ่อยมากจริงๆ ในการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ หรือกล่าวอะไรสักอย่างต่อสาธารณะ
 
คำพวกนี้ จริงๆแล้วมีความหมายลึกๆอยู่ที่ความรู้สึก 'ขาดอะไรบางอย่าง' ทำให้เขาต้องการเติมเต็มมันตลอดเวลา พูดในภาษาที่เข้าใจง่ายก็คือ ลึกๆแล้ว Trump ยังรู้สึกโหยหาการยอมรับ และต้องการเป็นที่่ 1 เป็นหมายเลข 1 อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เด็กจนโต
 
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นงาน gathering หรือ งานรวมญาติของครอบครัว Trump จะชอบพูดจาโอ้อวดทุกคนถึงผลงานที่ตัวเองทำไว้เสมอ ตอนสร้างโรงแรมเสร็จ ผมจำชื่อโรงแรมไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นโรงแรมไหน แต่น่าจะเป็น Grand Hyatt ช่วงที่ Trump เพิ่งเริ่มดังใหม่ๆ
ตอนนั้นหลานสาวของ Trump พาเพื่อนมาเที่ยวด้วย Trump เลยเดินพาหลานสาวและเพื่อนๆไปเดินดูโรงแรมแล้วชี้มือชี้ไม้ให้หลานๆดูถึงผลงานตนเองว่าสวยอย่างนั้น สวยอย่างนี้ แล้วพูดแนวโม้ๆว่า "นี่ๆดูสิๆ หน้าต่างนี้อาเลือกเองกับมือเลยนะ สุดยอดไปเลยไหมล่ะ?"
 
อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่ Trump จะจ้างหลานสาวของตัวเองไปช่วยเขียนหนังสือชีวประวัติให้ ช่วงประมาณปี 2017-2018 Trump ก็เลยพาหลานสาวตัวเองไปขึ้นเครื่องบิน Air Force One วันนั้น พอหลานมาถึง Trump ก็กางปีกออก แล้วผายมือไปข้างๆลำตัวพร้อมตะโกนถามด้วยสีหน้าเบิกบานว่า "เป็นไง เครื่องบินของอาเอง สุดยอด เท่ไปเลยไหมล่ะ?"
 
โดยรวมผมว่ามันก็สะท้อนเยอะอยู่นะ ผมเองไม่ได้เรียนหรือศึกษาทางด้านจิตวิทยามา เลยขอจำกัดการแสดงความคิดเห็นในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องเชิงเทคนิคในด้านดังกล่าวนี้เอาไว้ แต่คิดว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง หากใครอยากจะลองวิเคราะห์พฤติกรรม หรือ แนวคิดทัศนคติของ Donald Trump ว่ามันมีเหตุปัจจัยเบื้องหลัง และมีที่มาอย่างไร
 
เพราะเท่าที่สังเกตเอาตามที่หลานสาวของ Trump ได้เขียนวิเคราะห์เอาไว้ในหนังสือชีวประวัติ มันก็มีเหตุมีผล และ Rationale พอให้ทำความเข้าใจอยู่บ้าง ไม่ได้ถึงขั้นกล่าวเกินเลยแต่อย่างใด ผมเข้าใจว่า Disclaimer หนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจนั้นคือในหนังสือชีวประวัติมันอาจจะไม่ได้มีความจริงอยู่ 100% นัก
 
แต่พิจารณาเอาจากพื้นเพของ Mary (หลานสาวของ Trump) ซึ่งไปหาข้อมูลการเขียนหนังสือมาจากสมาชิกคนอื่นๆภายในครอบครัวของ Trump ทั้งพี่สาว พี่ชาย และญาติของ Trump ภายใต้สถานการณ์ที่คนในครอบครัวของ Trump ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเธอสักเท่าไรยังได้ข้อมูลเรื่องบ้าๆบอๆของ Trump มาได้ขนาดนี้ ก็น่าจะมี credibility ของข้อมูลอยู่บ้างพอสมควรนะครับ อาจจะประมาณ 60-70% เลยก็ว่าได้
 
 
 
ที่มา : นักยุทธศาสตร์ https://www.blockdit.com/articles/5fa784015dbf030cbaa7f2fe/#
Visitors: 1,212,275