WHO เตือนปล่อยให้ติดเชื้อ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นอันตราย

ประเด็นที่น่าสนใจรอบโลก
สหรัฐฯ
ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ได้รับหนังสือแถลงการณ์จากนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่ง ให้ใช้มาตรการเพิ่มภูมิต้านทานเพื่อหยุดการระบาดของโคงิด-19 โดยทำให้คนที่อายุน้อยและแข็งแรงเป็นโรคมากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) เพื่อให้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องปิดเมือง
 
มีรายงานจาก New York Times ว่าทรัมป์เองก็สนับสนุนแนวคิดนี้ แต่ต่อมาก็มีผู้ไม่เห็นด้วยมากมาย เพราะความคิดนี้ทำให้คนเข้าใจผิด ไม่ตรงกับความเป็นจริง
 
 
การที่จะทำให้เกิดโรคนี้ในชุมชน เพื่อที่จะให้สร้างภูมิต้านทานที่มากพอ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะต้องมีคนเป็นจำนวนเท่าไหร่ อาจจะต้องมีคนติดโควิดอย่างน้อย 50-70% ของจำนวนประชากร
 
 
เมื่อมีภูมิต้านทานที่เกิดจากการเป็นโรคแล้ว ก็ยังไม่แน่ชัดอีกว่า ภูมิต้านทานจะอยู่ได้นานหรือไม่ เพราะคนที่มีอาการน้อย มักจะมีภูมิต้านทานไม่มาก ตามรายงานในวารสาร Immunity กล่าวว่า ภูมิต้านทานอยู่ได้นานประมาณ 5-7 เดือน
 
 
นอกจากนี้ การที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการติดต่อในคนที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในสหรัฐฯ มีคนที่มีความเสี่ยงมากกว่า 40% อาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่า ซึ่งไม่คุ้มเพราะอาจมีคนตายเพิ่มขึ้น
 
 
เมืองที่เคยมีการระบาดอย่างรุนแรงในรอบแรก เช่น New York ก็ยังไม่สามารถทำให้เกิด Herd Immunity ขึ้นได้ ยังมีการระบาดเพิ่มขึ้นอยู่ขณะนี้
 
ดังนั้น การทำให้เกิดภูมิต้านทานมากพอ ควรจะต้องฉีดวัคซีน น่าจะดีที่สุด
 
 
มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
 
นพ.ฟอซี กล่าวไม่เห็นด้วย เพราะใครก็ตามที่อยู่ในแวดวงโรคติดเชื้อ หรือระบาดวิทยา ทราบดีว่ามันเป็นความเสี่ยงมากขนาดไหน เพราะในที่สุด ก็จะมีคนเจ็บป่วยใน รพ.มากขึ้น และตายมากขึ้น
 
 
ผอ.WHO กล่าวว่าวิธี Herd Immunity ที่ทำให้คนเป็นโรคมากขึ้นนั้น ไม่ใช่หนทางทางวิทยาศาสตร์ (unscientific) และไม่เป็นที่ยอมรับ การสร้างภูมิต้านทานควรมาจากการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นการปกป้องทุกๆคน รวมทั้งคนที่มีความเสี่ยง และการทำให้โรคระบาดโดยไม่ควบคุม ทำให้เกิดการสูญเสียและตายโดยไม่จำเป็น เป็นการขัดหลักจริยธรรม ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ทางสาธารณสุขที่ใช้วิธีนี้
 
 
มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนหนึ่ง เขียนลงในวารสาร Lancet ว่าวิธีการที่ทำให้มีภูมิต้านทานที่เกิดจากการเป็นโรคโควิด-19 นี้ เป็นการให้เหตุผลที่ผิดและเป็นอันตราย ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยอมรับ
 
 
ส่วนพื้นที่ที่ใช้ได้ผลนั้น เกิดจากมาตรการทางสาธารณสุข เช่น สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ เช่น ในประเทศเวียดนาม ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และไทย
 
Visitors: 1,218,243