ชาติร่ำรวยสั่งซื้อวัคซีนเกิน 50% ของยอดผลิต

ประเทศรวย จองวัคซีนไปกว่าครึ่ง โควิด-19 ทั่วโลกทะลุ 30 ล้านคน

ผู้คนทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 ทะลุไป 30 ล้านคนแล้ว เสียชีวิตใกล้แตะหลักล้านคน นายกฯอินเดียโดนฝ่ายค้านโจมตีว่าล้มเหลวกับการรับมือไวรัสอันตราย ทำให้ผู้คนตกงานหลายสิบล้านคน และเศรษฐกิจถดถอย อีกหลายชาติยังอาการหนักทั้งตายทั้งติดเชื้อทวีความรุนแรง ชาติร่ำรวยเฮโลจองวัคซีนกว่า 50% ของโลก หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกชี้ เศรษฐกิจทั่วโลกต้องรออีก 5 ปีกว่าจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 บางประเทศอาจนานกว่านี้ และจะเกิดความไม่เท่าเทียมในสังคมเพิ่มขึ้น ส่วนไทยยังเฝ้าระวังเข้มงวดตามอาณาเขตชายแดนทุกด้าน อุดช่องโหว่การนำเชื้อไวรัสตัวร้ายข้ามพรมแดนที่อาจติดตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย

 
 

ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ว่า ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งเกิน 30 ล้านคนแล้ว มีผู้เสียชีวิตกว่า 9.45 แสนคน รักษาหายเกือบ 22 ล้านคน สหรัฐอเมริกา ยังมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกที่ 6.83 ล้านคน และ 2.01 แสนคนตามลำดับ อันดับ 2 คืออินเดีย ซึ่งพบผู้ติดเชื้อเพิ่มทำลายสถิติอีกครั้งถึง 97,894 คน รวมเป็นเกือบ 5.12 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 83,230 คน ฝ่ายค้านโจมตีรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่า รับมือโควิด-19 ล้มเหลว ทำให้ เศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้มีผู้ตกงานหลายสิบล้านคน ขณะที่ประเทศที่มีผู้ติดเชื้ออันดับ 3-5 คือบราซิล รัสเซีย และเปรู

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำนายว่า จะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยพร้อมใช้เร็วที่สุดในเดือน ต.ค.และสามารถแจกจ่ายฉีดให้ประชาชนได้หลังจากนั้น ท่าทีของทรัมป์ขัดแย้งกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่ชี้ว่า จะยังไม่มีวัคซีนพร้อมใช้ก่อนสิ้นปีนี้ ทรัมป์ยังขัดแย้งกับนายแพทย์ โรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่า จะยังไม่มีวัคซีนพร้อมใช้ก่อนสิ้นปีนี้ ทรัมป์ยังขัดแย้งกับนายแพทย์ โรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าจะยังไม่มีวัคซีนพร้อมใช้ในเร็วๆนี้ โดยหาว่าเรดฟีลด์ “สับสน” อีกทั้งไม่เห็นด้วยกับเรดฟีลด์ที่ว่าการสวมหน้ากากอนามัยอาจป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการฉีดวัคซีนเสียด้วยซ้ำ โดยแม้ทรัมป์จะแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากาก แต่ตนเองแทบไม่เคยสวมเลย และซีดีซีได้แจกจ่ายคู่มือเรื่องการแจกจ่ายวัคซีนไปยังทั้ง 50 รัฐ เพื่อเตรียมพร้อมฉีดให้ชาวอเมริกันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้ามีวัคซีนพร้อมใช้

องค์กรพัฒนาเอกชน “อ็อกซ์แฟม” เผยผลการวิเคราะห์โดยบริษัท “แอร์ฟินิตี้” ซึ่งอาศัยข้อมูลจากบริษัทยาชั้นนำที่มีหวังพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำเร็จมากที่สุด 5 บริษัท คือบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษ, สถาบันกามาเลยาของรัสเซียผู้ผลิตวัคซีนสปุตนิก 5, บริษัทโมเดอร์นาและบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ บริษัทซิโนแว็กของจีน และพบว่ากลุ่มชาติร่ำรวย ซึ่งมีประชากรรวมกันแค่ร้อยละ 13 ของประชากรโลก ได้สั่งจองวัคซีนจากบริษัทเหล่านี้รวมแล้วกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของวัคซีนที่จะผลิตได้ในอนาคต

 

โดยอ็อกซ์แฟมคำนวณว่าบริษัทยาชั้นนำ 5 แห่งนี้มีศักยภาพผลิตวัคซีนได้รวมกัน 5,900 ล้านโดส เพียงพอฉีดให้ผู้คน 3,000 ล้านคน ถ้าแต่ละคนต้องฉีดวัคซีน 2 โดส ขณะนี้มีประเทศต่างๆ สั่งจองวัคซีนแล้วถึง 5,300 ล้านโดส โดย 2,700 ล้านโดส หรือ 51 เปอร์เซ็นต์ ถูกสั่งจองจากกลุ่มประเทศหรือดินแดนพัฒนาแล้วที่ร่ำรวย รวมทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิสราเอล ฮ่องกง มาเก๊า ส่วนที่เหลือ 2,600 ล้านโดส ถูกสั่งจองหรือสัญญาว่าจะส่งให้ชาติกำลังพัฒนา รวมทั้งอินเดีย จีน บังกลาเทศ บราซิล อินโดนีเซีย เม็กซิโก ด้านนายโรเบิร์ต ซิลเวอร์แมน โฆษกของอ็อกซ์แฟม อเมริกา เตือนว่า ชาวโลกทุกคนควรได้เข้าถึงวัคซีนเท่าเทียมกัน ไม่ว่ายากดีมีจนหรืออยู่ที่ใดในโลก

นายอูเกอร์ ซาฮิน ซีอีโอของ “ไบโอเอ็นเทค” บริษัทยายักษ์ใหญ่ของเยอรมนีเผยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ขั้นทดลองของตนซึ่งพัฒนาร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็นได้นานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังมีผู้ตั้งข้อวิตกกังวลว่าวัคซีนอาจเก็บได้ไม่นาน และจำเป็นต้องแช่ในอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง เขายังระบุว่า วัคซีนที่มีประสิทธิภาพควรป้องกันโควิด-19 ได้ถึง 70-75 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

นางคาร์เมน ไรน์ฮาร์ท หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกเผยระหว่างการประชุมทางไกลจากกรุงมาดริดในสเปนว่า แม้การยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์และอื่นๆจะทำให้เศรษฐกิจของบางประเทศฟื้นตัวรวดเร็ว แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกอย่างเต็มที่หลังวิกฤติโควิด-19 อาจใช้เวลานานถึง 5 ปี ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศจะกินเวลานานกว่าประเทศอื่นๆ และจะส่งผลให้ความไม่เท่าเทียมทางสังคมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน จะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศร่ำรวย

 

ที่มา : Thairath Online

Visitors: 1,198,125