ผ่าอาณาจักร ยาดม ความหอมสไตล์ไทย ที่สร้างรายได้ทะลุ 3 พันล้าน
ผ่าอาณาจักร ‘ยาดม’ ความหอมสไตล์ไทย ที่สร้างรายได้ทะลุ 3 พันล้าน
ผ่าอาณาจักร "ยาดม" ของไทย ธุรกิจความหอมที่ทำให้มีผู้เข้ามาช่วงชิงตลาดนี้อย่างคึกคัก ทั้งเจ้าตลาดอย่างโป๊ยเซียน และเซียงเพียว รวมถึงแบรนด์อื่นๆ ที่โกยรายได้ในปี 2561 รวม 3.3 พันล้านบาท
![]() ผ่าอาณาจักร ‘ยาดม’ ความหอมสไตล์ไทย ที่สร้างรายได้ทะลุ 3 พันล้าน
“ยาดม” หนึ่งในสิ่งของที่ติดตัวคู่คนไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเวลาที่วิงเวียนศีรษะ หลายคนก็จะหยิบยาดมหลากสไตล์ขึ้นมาสูดดม ไม่ว่าจะเป็นยาดมแท่งหรือยาดมน้ำ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายแบรนด์ แต่ที่เรามักจะคุ้นหู คุ้นตากันบ่อยๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น 2 ยี่ห้อดัง ไม่ว่าจะเป็นยาดมตรา “โป๊ยเซียน” ที่มาพร้อมสโลแกนสั้นๆ ตรงไปตรงมาอย่าง ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน และ “เซียงเพียว” หรือชื่อเดิม “เซียงเพียวอิ๊ว” ยาดม ยาหม่องกล่องสีแดง นอกจากนี้ยังมียี่ห้ออื่นๆ ที่ผลิตออกมาเจาะกลุ่มตลาดอีกจำนวนมาก
ขณะเดียวกันวันนี้ภาพของการเติบโตของธุรกิจยาดม ไม่ได้ผลิตใช้กันแค่ในไทยเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ ยาดมบ้านเรายังฮ็อตฮิตกลายเป็นไอเทมเด็ดที่นักท่องเที่ยวมาไทยต้องหอบหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นของฝากอีกด้วย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ แน่นอนว่าส่งผลให้อุตสาหกรรมยาดมของไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว
“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” จะพาไปสำรวจตลาด “ยาดม” ในประเทศไทยกันให้มากขึ้น นอกเหนือจาก 2 เจ้าใหญ่ที่ครองตลาดแล้ว ยังมีแบรนด์ใดอีกบ้างที่เข้ามาลงสนามนี้บ้าง? และแต่ละรายโกยรายได้กันไปเท่าไร
โดยจากการสำรวจของ Ac Nielsen ระบุว่า ตลาด "ยาดม" ของไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,300 ล้านบาทต่อปี และจากการสำรวจพบว่า ประชากรราว 70 ล้านคน ใช้ยาดมอย่างน้อย 10% และในหนึ่งเดือนใช้อย่างน้อย 2 หลอด ขณะที่ "ยาหม่องน้ำ" ของไทย ในช่วงปี 2561 มีมูลค่าราวกว่า 1,000 ล้านบาท
“โป๊ยเซียน” โกยรายได้ทะลุพันล้าน
อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า หนึ่งในเจ้าตลาด “ยาดม” ในประเทศไทย คือ “โป๊ยเซียน” (POY-SIAN) ดำเนินการภายใต้ บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ของ "ตระกูลลาภบุญทรัพย์" ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทขึ้นเมื่อปี 2532 หรือราว 31 ปีก่อน ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 30 ล้านบาท
![]() โป๊ยเซียน
จากเริ่มแรกราวปี 2479 เป็นร้านขายยาสมุนไพรเล็กๆ ตั้งอยู่ย่านเยาวราช กรุงเทพฯ ขายทั้งยาสตรีตราโป๊ยเซียน ยาน้ำเอียจับ และยาน้ำส้ม ต่อมามีการพัฒนาสูตรยาดม “พีเพ็กซ์” (Pe-Pex) ปัจจุบันก็ยังมีขายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ประกอบกับมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจึงได้เป็นผลิตภัณฑ์ “ยาดมโป๊ยเซียน POY-SIAN” แบบ 2 in 1 ในแบบปัจจุบันที่ใช้ได้ทั้งดมและทาในหลอดเดียวกัน
ก่อนจะค่อยๆ พัฒนา ขยายไลน์สินค้ากระทั่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ราว 7 ชนิด ได้แก่ ยาดมตราโป๊ยเซียน ยาดมโป๊ยเซียนมาร์คทู (Mark II) พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน (POY-SIAN) ยาหม่องผสมพญายอตราโป๊ยเซียน รวมถึงยาดมตราพีเพ็กซ์ (PE-PAX) และยาดมตราเพ็กซ์ (PAX) ที่เน้นทำตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
เมื่อเจาะลึกไปที่รายได้ของบริษัท ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายได้รวมของ บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ในปี 2562 อยู่ที่ 1,015.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 23.63% ที่มีรายได้อยู่ที่ 821.08 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัท ในปี 2562 อยู่ที่ 349.43 ล้านบาท สูงขึ้น 25.94% จากปีก่อนหน้าที่ได้กำไรสุทธิ 277.43 ล้านบาท
“เซียงเพียว” ยาดมกล่องแดงครองใจคนไทย
อีกหนึ่งแบรนด์ที่เมื่อเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยา มักจะเห็นบนชั้นวางเกือบทุกแห่งและมีมาอย่างยาวนาน คือ แบรนด์เซียงเพียว หรือเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ภายใต้การบริหารของบริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด ที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทราวปี 2524 ด้วยทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลของบริษัทระบุว่า จริงๆ แล้วนั้นยาดมของบริษัทเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน แต่เข้ามาในประเทศไทยราว 62 ปีก่อน ยุคแรกเป็นยาหม่องน้ำสมุนไพรจีน ยี่ห้อ “เซียงเพียวอิ๊ว” และต่อมามีการรีแบรนด์เป็น “เซียงเพียว” ก่อตั้งโดย บุญจือ เอี่ยมพิกุล
![]() เซียงเพียว
จนกระทั่งปี 2548 ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นยาดมแบรนด์เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ สะท้อนถึงความเติบโต บริษัทเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่ใช้มูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท อีกทั้งมีการเพิ่มยาดมกลิ่นส้ม หรือยาหม่องเจล หรือยาหม่องแท่ง เพื่อเพิ่มความหลากหลาย รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ยาดม “แบล็ค อินเฮเลอร์” (Black Inhaler) ที่มีการออกแพคเกจจิ้งใหม่ สีดำ ดูสมาร์ท หวังตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่
และมีการแตกไลน์ธุรกิจ ทั้งการเปิดตัวสนามจักรยานเป๊ปเปิอร์มิ้นท์ ไบค์ ปาร์ค จักรยานเสือภูเขาใจกลางเมือง ย่านเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ร้านอาหารมิ้นท์ คาเฟ่ และสนามมิ้นท์ ด๊อก ยาร์ด อีกทั้งยังออกผลิตภัณฑ์อื่นๆ คือ เซียงเพียว รีลีฟ ครีม ครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อย
แม้จะมีผลิตภัณฑ์ในครอบครองหลายแบรนด์ในหลากไลน์สินค้า แต่บริษัทเลือกที่จะส่งออก 2 สองแบรนด์หลัก ทั้ง "เซียงเพียว" และ "เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์" ส่งออกไปกว่า 19 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐ จีน โคลอมเบีย อังกฤษ โรมาเนีย เยอรมนี มองโกเลีย พม่า สปป.ลาว มอลโดวา มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง เวียดนาม และฟิลิปปินส์
![]() เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์
ขณะที่ตลาดในไทย บริษัทครองส่วนแบ่งของสินค้ายาดมราว 20% ครองอันดับ 2 ของประเทศ ขณะที่ยาหม่องน้ำครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 70%
สำหรับในเรื่องรายได้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในปี 2562 บริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด โกยรายได้รวมกว่า 1,461.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 5.68% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมกว่า 1,383.02 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2562 อยู่ที่ 324.32 ล้านบาท แต่มีกำไรลดลงจากปีก่อนถึง 10.57% ที่ทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 362.67 ล้านบาท
โดยปี 2561 สัดส่วนยอดขายยังคงเป็นแบรนด์เซียงเพียว 65% เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ 35% ซึ่งสัดส่วนการตลาดในประเทศ กับต่างประเทศอยู่ที่ครึ่งๆ
อ่านเพิ่มเติม : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/892664?anb=
|
ผ่าอาณาจักร "ยาดม" ของไทย ธุรกิจความหอมที่ทำให้มีผู้เข้ามาช่วงชิงตลาดนี้อย่างคึกคัก ทั้งเจ้าตลาดอย่างโป๊ยเซียน และเซียงเพียว รวมถึงแบรนด์อื่นๆ ที่โกยรายได้ในปี 2561 รวม 3.3 พันล้านบาท
ผ่าอาณาจักร ‘ยาดม’ ความหอมสไตล์ไทย ที่สร้างรายได้ทะลุ 3 พันล้าน
“ยาดม” หนึ่งในสิ่งของที่ติดตัวคู่คนไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเวลาที่วิงเวียนศีรษะ หลายคนก็จะหยิบยาดมหลากสไตล์ขึ้นมาสูดดม ไม่ว่าจะเป็นยาดมแท่งหรือยาดมน้ำ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายแบรนด์ แต่ที่เรามักจะคุ้นหู คุ้นตากันบ่อยๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น 2 ยี่ห้อดัง ไม่ว่าจะเป็นยาดมตรา “โป๊ยเซียน” ที่มาพร้อมสโลแกนสั้นๆ ตรงไปตรงมาอย่าง ใช้ดมใช้ทาในหลอดเดียวกัน และ “เซียงเพียว” หรือชื่อเดิม “เซียงเพียวอิ๊ว” ยาดม ยาหม่องกล่องสีแดง นอกจากนี้ยังมียี่ห้ออื่นๆ ที่ผลิตออกมาเจาะกลุ่มตลาดอีกจำนวนมาก
ขณะเดียวกันวันนี้ภาพของการเติบโตของธุรกิจยาดม ไม่ได้ผลิตใช้กันแค่ในไทยเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ ยาดมบ้านเรายังฮ็อตฮิตกลายเป็นไอเทมเด็ดที่นักท่องเที่ยวมาไทยต้องหอบหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นของฝากอีกด้วย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ แน่นอนว่าส่งผลให้อุตสาหกรรมยาดมของไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว
“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” จะพาไปสำรวจตลาด “ยาดม” ในประเทศไทยกันให้มากขึ้น นอกเหนือจาก 2 เจ้าใหญ่ที่ครองตลาดแล้ว ยังมีแบรนด์ใดอีกบ้างที่เข้ามาลงสนามนี้บ้าง? และแต่ละรายโกยรายได้กันไปเท่าไร
โดยจากการสำรวจของ Ac Nielsen ระบุว่า ตลาด "ยาดม" ของไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,300 ล้านบาทต่อปี และจากการสำรวจพบว่า ประชากรราว 70 ล้านคน ใช้ยาดมอย่างน้อย 10% และในหนึ่งเดือนใช้อย่างน้อย 2 หลอด ขณะที่ "ยาหม่องน้ำ" ของไทย ในช่วงปี 2561 มีมูลค่าราวกว่า 1,000 ล้านบาท
Visitors: 1,474,218