7 เรื่องสำคัญที่คนมักเข้าใจผิดทางการเงิน แต่เศรษฐีไม่ทำกัน มีอะไรบ้าง

7 เรื่องสำคัญที่คนมักเข้าใจผิดทางการเงิน แต่เศรษฐีไม่ทำกัน มีอะไรบ้าง. . .?

1. พวกเขาจะไม่ยอมเสียเงินค่าธรรมเนียม

หลายคนปล่อยให้ตัวเองเสียค่าธรรมเนียม ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายชำระค่าบัตรเครดิตล่าช้า หรือจ่ายค่าสินค้า ค่าเรียน ค่าสัพเพเหระที่ถ้าคุณจ่ายช้าคุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับ

วิธีแก้ของพวกเขาคือ จ่ายเงินก่อนเวลาถึงกำหนดจ่ายจริง หรือจ่ายล่วงหน้าก่อนเวลาเดดไลน์มาถึง หรือตัดให้มีการาจ่ายโอนค่าต่างๆเหล่านี้โดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ คุณยังต้องระวังค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆที่คุณไม่ค่อยให้ความสนใจหรือสังเกตดูดีๆ บางครั้งมันจะซ่อนมาตามบิลรายเดือนที่คุณต้องจ่ายเป็นประจำ เมื่อคุณละเลย คุณอาจต้องจ่ายสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายโดยไม่รู้ตัว

.

2. พวกเขาจะไม่เพิกเฉยต่อคะแนนจากบัตรเครดิต

อย่างที่เราพอจะรับรู้กันไปบ้างแล้วว่า การชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำและจ่ายช้านั้น ทำให้คุณต้องมีภาระจากดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก แต่หากเรานำบัตรเครดิตมาซื้อสินค้าเป็นประจำ โดยเฉพาะใช้ประโยชน์จากมัน

เช่น การจ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลงตามโปรโมชั่นที่บัตรเครดิตร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าบางแห่ง หลายครั้งคุณจะพบว่ามันมีการสะสมคะแนน และคะแนนเหล่านี้เองที่ทำให้ท่านสามารถนำไปรับเครดิตเงินคืน หรือรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษได้

.

3. พวกเขาจะไม่ใช้จ่ายเงินแบบหุนหันพลันแล่น ไม่เร่งรีบในการใช้จ่าย

ในที่นี้เขาก็ยกตัวอย่างว่า มหาเศรษฐีหลายคนมีการใช้จ่ายเงินที่ค่อนข้างประหยัดมาก ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates ที่สวมนาฬิการาคา 10 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณเรือนละ 320 บาท

ขณะที่ Warren Buffett กินอาหารเช้าเหมือนเดิมทุกๆวันจาก McDonald ที่มีราคาไม่เกิน 3.17 เหรียญ หรือประมาณ 101.44 บาทเท่านั้น

เขาย้ำว่า “ผู้คนที่ร่ำรวย เขาไม่ได้รวยจากการใช้จ่ายเงินทั้งหมด เขารู้ว่าเมื่อไรควระมัดระวังการใช้จ่าย”

สามสิ่งที่มีการทำวิจัยมาแล้วพบว่า พวกเขาจะระวังการใช้จ่ายแบบรวดเร็ว แบบไม่ยั้งคิด ที่นำไปสู่ความสูญเปล่าทางการเงิน เขาจะระวังการใช้เงินที่ฟุ่มเฟือยมากเกินไป และเขาจะระวังในเรื่องหนี้

.

4. พวกเขาจะระวังการจ่ายเงินตามแผนการตลาด

แผนการตลาดประเภท ถ้าคุณรีบซื้อ รีบจ่าย ภายในเวลาที่กำหนด คุณจะได้ของแถมนั่น นี่ นู่น เป็นต้น

สารพัดวิธีการใช้เงินของพวกเขาคือ เขาจะเปรียบเทียบราคาสินค้า เขาจะดูภาพรวมทั้งหมด และเอาคุณประโยชน์ของสินค้าที่ซื้อมาเปรียบเทียบกับราคา ว่ามันเหมาะสมกับเงินที่เขาต้องจ่ายไปหรือไม่

.

5. พวกเขาจะหวังผลระยะยาว มองการณ์ไกลมากกว่าคิดแต่ภาพภายหน้าระยะสั้นๆ

ตัวอย่างที่เขายก เช่น Eric Schmidt อดีต CEO แห่ง Google เคยกล่าวว่า เขาจะไม่ซื้อขายหุ้นโดยติดตามความเคลื่อนไหวตลาดแบบวันต่อวัน แต่เขาใช้วิธีดูระยะยายวของมัน

.

6. พวกเขาไม่มีแหล่งรายได้ทางเดียว

การมีแหล่งรายได้หลายทางจะทำให้คุณมีเงินเพิ่มมากขึ้นและแน่นอน ผู้คนที่ร่ำรวยทั้งหลายไม่เคยพึ่งพาแหล่งรายได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจต่างๆ เพิ่มเติม การมีงานฟรีแลนซ์ การรับเป็นครูติวเตอร์สอนวิชาที่ตนเองถนัด เป็นต้น

.

7. พวกเขาพยายามไม่เป็นเหมือนคนอื่น

ชีวิตใครก็ชีวิตมันนะครับ ไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราต้องเป็นเหมือนใคร จงใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดไปทุกๆ วันครับ

อย่ารู้สึกอยากได้ อยากมี อยากเป็นในสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิตเราครับ ในส่วนนี้เขาก็ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ชีวิตและความสุขที่ทุกคนพบเจอเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราไม่มีเหมือนเขา ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทุกข์

Warren Buffett ไม่เคยมีโทรศัพท์ iPhone เป็นของตัวเองมาก่อน จนกระทั่งเขาได้รับมันมาเพราะคนให้เป็นของขวัญ แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่ใช้มัน (เขาให้สัมภาษณ์กับ CNBC ไว้อย่างนั้นครับ)

เพื่อนคุณ ญาติคุณ เพื่อนร่วมงานคุณ อาจจะมีสิ่งของที่จำเป็นต้องมีแบบ “ของมันต้องมี” แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณจำเป็นต้องมีตามเขา

 

ที่มา : CNBC

 
Visitors: 1,405,371