มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึกเอกชน สร้างป่าชุมชนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึกเอกชน สร้างป่าชุมชนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมมือภาครัฐ ชุมชน และ 14 เอกชนชั้นนำ ร่วมมือขยายผล “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ใน 77 ป่าชุมชน ตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้ให้ชุมชน 500 ล้านบาท และกักเก็บคาร์บอน 500,000 ตันเทียบเท่าภายใน 10 ปี พร้อมวางเป้าหมายในปี 2567 จะมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมมือผ่านโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น เพื่อขยายงานครอบคลุมพื้นที่อีก 150,000 ไร่ นำไปสู่เป้าหมายผลิตคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันภายในปี 2570 ภายใต้ความมุ่งหวังสร้างป่าที่สมบูรณ์ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้ชุมชน เป็นการช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมๆกัน ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า ปลูกคน” มาเกือบ 40 ปี ในการฟื้นฟูป่าอนุรักษ์ที่โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย มูลนิธิแม่ฟ้า หากได้บริหารจัดการทรัพยากรอย่างถูกต้องให้คนอยู่กับป่าอย่างสมดุล ป่าจะสามารถเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้ชุมชนและประเทศได้ด้วย จึงนำประสบการณ์มาขยายผลเพื่อร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในป่า พร้อมกับร่วมแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของไทย โดยได้รับความสนับสนุนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชน และชุมชนในการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่ามาตั้งแต่ปี 2563 และมีงบประมาณสนับสนุนจากภาคเอกชนนำไปใช้ในการพัฒนาระบบประเมินคาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนสองประเภท คือ กองทุนดูแลป่า และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อเป็นรายได้แก่ชุมชน “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ตระหนักดีถึงความสำคัญในการดูแลรักษาป่า การร่วมมือกันแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของประเทศ จึงได้รวบรวมการดำเนินงานโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และ 14 หน่วยงานรัฐและเอกชนมานำเสนอ ดังต่อไปนี้ รูปธรรมของการรักษาป่า ภาพรวมของการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ช่วงพัฒนาระบบ (2563-2565) ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนริเริ่ม “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ขึ้นทะเบียนเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ภาคป่าไม้ ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดยเชื่อว่าคาร์บอนเครดิตเป็นกลไกที่ตอบโจทย์ให้ชุมชนดูแลป่าและดูแลตัวเองได้พร้อมๆ กัน ช่วยลดการสูญเสียพื้นที่ป่า ลดอัตราการเกิดไฟป่าให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ลดปัญหาฝุ่นควัน pm 2.5 จากไฟป่า รวมทั้งมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาคนว่างงาน และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถช่วยภาคเอกชนในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจได้ด้วย มีพื้นที่ปฏิบัติการใน 52 ป่าชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 51,354 ไร่ใน 7 จังหวัด และมีชุมชนเข้าร่วม 12,361 ครัวเรือน จนปัจจุบันเกิดความชำนาญจนนำมาสู่การขยายพื้นที่อย่างจริงจัง สำหรับปี 2566 ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนใน 77 ป่าชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 143,496 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ อำนาจเจริญ และยโสธร โดยจะเป็นพื้นที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ประมาณ 100,000 ไร่ มีผู้เข้าร่วม 12,721 ครัวเรือน มีภาคเอกชนชั้นนำมาร่วมสนับสนุนการพัฒนา 14 ราย
การขยายงานในครั้งนี้เมื่อรวมกับระยะพัฒนาระบบ ทำให้โครงการฯมีความร่วมมือในป่าชุมชนรวม 129 แห่งใน 9 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 194,850 ไร่ ป้อนคาร์บอนได้ 500,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสร้างประโยชน์แก่ชุมชนในป่า 25,082 ครัวเรือน การดำเนินงานในแต่ละป่าชุมชนครอบคลุมระยะเวลาสิบปี และคาดว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ทางตรงด้านรายได้ชุมชนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 500-630 ล้านบาท โครงการนี้สามารถสร้างประโยชน์ได้ทุกมิติ ชุมชนที่ดูแลป่ามีชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยผลิตคาร์บอนเครดิตมาช่วยให้ประเทศไทยบรรลุข้อตกลงลดโลกร้อน และมีป่าสมบูรณ์ขึ้น เฉพาะในช่วงฤดูไฟป่าที่ผ่านมา พบว่าพื้นที่โครงการมีไฟป่าลดลงประมาณ 6,500 ไร่ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 191 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากชุมชนในโครงการให้การดูแลป่าอย่างจริงจัง 14 ธุรกิจลดก๊าซเรือนกระจก สำหรับองค์กรภาคเอกชนที่เห็นถึงความสำคัญและเข้าร่วมในโครงการ ในระยะพัฒนาระบบในปี 2563-2565 ประกอบด้วย
ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประกอบด้วย 1.การทำให้ป่าชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2.การอนุรักษ์พื้นที่ป่าช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ 3.ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน สอดรับนโยบายของรัฐบาลตามข้อตกลง COP26 ภายใต้นโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี 2608 วางนโยบายองค์กรยั่งยืน ความตื่นตัวในการร่วมรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลให้ภาคธุรกิจกำหนดนโยบายการพัฒนาความยั่งยืนองค์กรไปด้วย
เห็นได้จาก บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้วาง 10 กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แสวงหามาตรการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับบริษัทในเครือ ปตท. อาทิ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล ที่ผสานนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่การเป็นองค์กรต้นแบบที่พัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จะลดการดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับหลักการของแนวทางสู่องค์กรคาร์บอนต่ำ การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน และการสร้างคุณค่าเชิงบวกด้านความหลากหลายทางชีวภาพและบริการจากระบบนิเวศ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่ม OR กำหนดนโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืน ดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน เป็นต้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยใช้หลักความสมดุลของการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ร่วมมือรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะที่ กลุ่มบริษัทบางจาก ได้วางแผน “BCP316NET” ครอบคลุม 4 แนวทาง คือ B = Breakthrough Performance (30%) เน้นกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน ปล่อยคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม C = Conserving Nature and Society (10%) สนับสนุนการสร้างสมดุลทางระบบนิเวศและเชื่อมโยงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านการดูดซับคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ มุ่งเน้นพัฒนากิจกรรมเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับคาร์บอน P = Proactive Business Growth and Transition (60%) เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่พลังงานสะอาด มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นขยายการลงทุนใหม่ๆที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ NET = Net Zero Ecosystem สร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการไปสู่เป้าหมาย Net Zero บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลดปริมาณพลาสติกที่ใช้ในวัสดุบรรจุภัณฑ์ และใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษทดแทน มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปราศจากพลาสติกจากปิโตรเคมี การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการทิ้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี และเลิกใช้พลาสติกในสินค้าส่งเสริมการขาย และลดการปล่อย CO2 โดยส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่น้ำหนักเบาและบางลง รวมทั้งการทำให้เนื้อวัสดุบรรจุภัณฑ์บางลง รวมทั้งได้เปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนโดยมีเป้าหมาย 100% ในปี 2573 สำหรับประเทศไทยโดยในปี 2566 จะใช้พลังงานทดแทน 30% เป็นต้น ด้าน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด สนับสนุนการผลิต การใช้ และการเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนในองค์กร เพื่อลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมุ่งมั่นบริหารทรัพยากรน้ำแบบองค์รวม เพื่อให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำการเกษตร และในกระบวนการผลิต รวมทั้งมุ่งมั่นส่งเสริมและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการปลูก ป้องกัน ลด ฟื้นฟู และอนุรักษ์ป่าไม้ และการจัดการเกษตรรูปแบบใหม่ จัดการคาร์บอนเครดิตในป่า สำหรับภาคการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกาศยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามแนวทาง “การธนาคารเพื่อความยั่งยืน” (Sustainable Banking) โดยบูรณาการมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกระบวนการทำงาน ธนาคารออมสิน ได้เข้าร่วมโครงการการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯในปี 2566 สนับสนุนการอนุรักษ์ป่า 5,000 ไร่ และร่วมปลูกป่ากับกรมป่าไม้ 600 ไร่ และจะดำเนินการปลูกและอนุรักษ์ป่าอย่างต่อเนื่องในทุกปี และไม่สนับสนุนการลงทุนและการให้ สินเชื่อในบริษัทที่ทำธุรกิจถ่านหินและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถ่านหิน สนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผลักดันให้ลูกค้าหรือบริษัทที่ธนาคารลงทุนมีการดำเนินงานด้าน Climate change และความยั่งยืน เป็นต้น เช่นเดียวกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ตระหนักถึงความสำคัญและมุ่งมั่นส่งเสริมการปลูกป่า ได้เข้าร่วมสนับสนุน ได้แก่ โครงการป่าชุมชนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งมีเป้าหมายในการขยายพื้นที่ป่าชุมชนให้ครอบคลุมพื้นที่ 300,000 ไร่ ด้วยกลไกลการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งสนับสนุนการพัฒนาชนบทด้วยการอนุรักษ์ป่าเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในปี 2564 ไทยเบฟและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯเริ่มต้นโครงการระยะที่ 1 ครอบคลุมพื้นที่ป่าชุมชน 12 แห่ง เนื้อที่ทั้งหมด 13,636 ไร่ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา และในปี 2565 ได้ดำเนินโครงการระยะที่ 2 เพิ่มป่าชุมชนอีก 33 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 32,505 ไร่ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ กำแพงเพชร อุทัยธานี และกระบี่ ส่วน บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า มีการนำเทคโนโลยีสีเขียว “คาร์บอนเคียว” (Carbon Cure) มาใช้ผลิตแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Precast) โดยเลือกใช้ปูนซีเมนต์ และคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับงานก่อสร้าง ตามนโยบายการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ที่มา : https://www.thairath.co.th/money/sustainability/esg_strategy/2720422
|