เวทีเสวนา “How Carbon Credit Market Can Play a Pivotal Role to Climate Actions” ภายในงาน EARTH JUMP 2025
![]() “คนหิว ป่าหาย...คนอยู่ได้ ป่ายั่งยืน” คือสมการที่เราต้องเข้าใจ ยอมรับ และปรับแก้ หากต้องการเห็นธุรกิจคาร์บอนต่ำเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย
เมื่อวานนี้ ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมเวทีเสวนา “How Carbon Credit Market Can Play a Pivotal Role to Climate Actions” ภายในงาน EARTH JUMP 2025 จัดโดยธนาคารกสิกรไทยและ ThaiCBN (Thailand Climate Business Network)
ม.ล.ดิศปนัดดาเน้นย้ำว่า ป่าจะยั่งยืนไม่ได้หากยังมองข้าม “ความหิว” ของคนในพื้นที่ ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันบีบให้เกษตรกรพึ่งพาพืชระยะสั้นที่ทำลายป่า เพราะขาดความมั่นคงในที่ดินและตลาด ในไทย 1 คน มีป่าเพียง 1.48 ไร่ ขณะที่ใน Amazon 1 คนดูแลป่ากว่า 1,000 ไร่ ชัดเจนว่า “คนกับป่า” แยกจากกันไม่ได้
“ดอยตุงโมเดล” คือกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการแทนที่ไร่หมุนเวียน 5 แปลงต่อชุมชน เหลือเพียง 2 แปลง โดยใช้ “กาแฟ” เป็นพืชเศรษฐกิจระยะยาวที่สร้างรายได้มั่นคง ลดการบุกรุกและไฟป่า คืนผืนป่า 3 แปลงต่อครัวเรือน “คาร์บอนเครดิต” จึงไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของการปลูกต้นไม้ แต่คือรายได้ที่สร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและป่า หากออกแบบกลไกทางธุรกิจเชื่อมโยง value chain ได้ดี ภาคเอกชนและภาคการเงินสามารถร่วมมือสร้างผลประโยชน์ร่วมกับชุมชนได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่ยังขวางศักยภาพของตลาดคาร์บอนเครดิต คือสิทธิในที่ดินของชุมชนที่ยังไม่ชัดเจน และกระบวนการขึ้นทะเบียนที่ซับซ้อน ทำให้ชุมชนเข้าไม่ถึงราคาเครดิตที่สะท้อนความเสี่ยงทางสังคมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิดว่าการซื้อเครดิตคือการ “ฟอกเขียว” ซึ่งบั่นทอนแรงจูงใจของภาคเอกชน
ท้ายที่สุด ม.ล.ดิศปนัดดากล่าวว่า ถ้าเราต้องการผลักดันธุรกิจคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง เราต้องจัดการกับโครงสร้างความเสี่ยงระหว่างคนกับป่า เพราะต้นทุนที่แท้จริงของคาร์บอนเครดิต ไม่ใช่แค่ราคาต่อตันบนตลาดโลก แต่คือ “ความมั่นคงของชีวิตคนที่ดูแลป่า” อีกข้อเท็จจริงคือ “อุณหภูมิโลกไม่มีวันหยุด แต่นโยบายเราหยุดนิ่งมานานเกินไป หากอยากให้คาร์บอนเครดิตไทยเป็นที่ยอมรับระดับโลก ต้องสร้างระบบที่ตรวจสอบได้ เป็นธรรม และให้แรงจูงใจที่แท้จริงกับคนในพื้นที่ ไม่ใช่แค่ปลูกเพื่อขายเครดิต” วันนี้ คาร์บอนเครดิตไทยอาจยังไม่น่าสนใจในสายตานานาชาติ แต่หากเราร่วมกัน “เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ” มันจะไม่ใช่แค่ “เครดิต” แต่คือ “ความอยู่รอดของมนุษยชาติ” ที่เราสร้างได้จากผืนดินไทย
หากคุณสนใจประเด็นนี้ ฝากกดแชร์ และร่วมเสนอไอเดียว่า “เราจะทำให้คาร์บอนเครดิตไทยเป็นธรรมและยั่งยืนได้อย่างไร”
Thailand’s carbon credit market rooted in forestry remains weak, not because we lack trees, but because we fail to prioritize the people who live with and depend on them. At EARTH JUMP 2025, M.L. Dispanadda Diskul underscored a critical truth: deforestation is often driven by necessity, not neglect. When farmers face insecure land rights and unreliable income, short-term survival takes precedence over long-term sustainability.
The Doi Tung model offers a way forward. By replacing destructive farming with long-term crops like coffee, communities have restored forests while securing stable livelihoods. In this context, carbon credits are not just environmental assets, they are economic lifelines that empower people to protect the land.
Yet structural challenges remain. Complex credit systems, unclear land rights, and misconceptions about greenwashing continue to limit participation and trust. As M.L. Dispanadda put it, “The world is heating up, but our policies remain frozen.” If Thailand wants its carbon credits to be recognized globally, the system must be transparent, fair, and grounded in real incentives for people to live with, not apart from, the forest.
Carbon credits should not just be a market mechanism. They should reflect a deeper commitment to climate, to equity, and to survival…beginning here, at home.
|